“จุรินทร์” เชื่อ คนไทยไม่ค้านสถานบันเทิงครบวงจร แต่ขัดแย้งปมตั้ง “กาสิโน” หนุนทำประชามติเพื่อสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล ชี้ ได้คุ้มเสียหรือไม่ให้ประชาชนตัดสิน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เคยมีการคุยกัน ถ้าสมมติว่า มีร่างที่ผ่าน ครม.มาอย่างชัดเจน และรัฐบาลตัดสินใจว่าจะเสนอเข้าสภา ก็คงจะมีการพูดคุยในที่ประชุม สส.พรรคว่าจะมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร และต้องรอความชัดเจนด้วยว่าสุดท้ายรัฐบาลจะตัดสินใจเอาเข้าสภาหรือไม่
นายจุรินทร์ กล่าวว่า เหตุที่ตนเสนอให้ทำประชามติ เพราะเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวมาก ประชาชนมีความเห็นต่าง ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วย อีกฝ่ายไม่เห็นด้วย และพรรคการเมืองไม่ได้หาเสียงมาก่อนว่าจะทำกาสิโน อาจจะพูดกว้างๆ แต่ไม่ได้ระบุชัดว่าจะทำเพื่อประกอบการตัดสินใจของประชาชน เพราะฉะนั้นข้อยุติที่ดีที่สุด คือ การทำประชามติ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ว่า เห็นด้วยที่จะให้ทำหรือไม่ ซึ่งเป็นทางออกที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย หากประชาชนเห็นด้วยรัฐบาลก็จะได้มีความชอบธรรม แต่หากประชาชนไม่เห็นด้วยก็ยกเลิกได้ เพราะเป็นรัฐบาลในวิถีทางประชาธิปไตยที่ควรรับฟังเสียงประชาชน เพราะบางประเทศก็ใช้ประชามติในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของบ้านเมือง
“ประเด็นนี้เป็นเรื่องใหญ่และมีผลกระทบในวงกว้าง จึงคุ้มค่าที่จะทำประชามติ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ โดยภาพรวมเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ผมคิดว่าแรงต่อต้านไม่มี ประชาชนไม่ขัดข้องอะไร ฝ่ายที่ต่อต้านส่วนใหญ่เท่าที่รับฟังก็ไม่ได้คัดค้าน เพราะการทำศูนย์การค้า ทำร้านอาหาร การทำแหล่งบันเทิง ก็มีอยู่แล้วในประเทศเรา ในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ แต่สิ่งที่จะเป็นประเด็นที่เป็นความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่ คือ กาสิโน” นายจุรินทร์ กล่าว
ต่อคำถามว่า ถ้าร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสภา ประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล จะโหวตอย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกันในพรรคก่อน โดยต้องขอดูหน้าตาของร่างว่าออกมาเป็นอย่างไร รายละเอียด เงื่อนไขเป็นอย่างไร และเมื่อไปคุยในพรรคแล้วในภาพรวมพรรคมีความเห็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า การทำประชามติรอบหนึ่งใช้งบประมาณกว่า 3 พันล้าน จะคุ้มหรือไม่นายจุรินทร์ ตอบว่า ตนคิดว่าคุ้มค่า เพราะความเสียหายถ้าเทียบไปแล้วกับ 2-3 พันล้าน หากเกิดความเสียหายจะมากกว่านี้ จะเป็นความเสียหายมหาศาล โดยเฉพาะปัญหาทางสังคม และผลกระทบทางเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเป็นห่วง
“เพื่อหาข้อยุติสำหรับทุกฝ่าย เป็นทางออกที่ดี ซึ่งเราก็มีกฎหมายประชามติ และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประชามติ ก็เพื่อให้เปิดทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และให้ฝ่ายต่างๆ ได้ถามประชาชนในประเด็นที่คิดว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา แต่สามารถทำได้ ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอและเป็นความเห็น รัฐบาลจะรับฟังหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ หรือฝ่ายต่างๆ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่” นายจุรินทร์ กล่าว