เมืองไทย 360 องศา
“ผมมั่นใจว่าปี 2026 จะพยายามให้ GDP 4 % และปี 2027 พยายามให้ GDP โต 5 % แต่ปีนี้ 2025 ต้อง 3 % กว่า แน่นอน ไม่ใช่ 2 แบบที่เขาคิด”
นั่นเป็นคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย กล่าวอย่างมั่นใจตอนหนึ่งในงาน ดินเนอร์ทอล์ก ภายใต้หัวข้อเสวนา “Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market” จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา
ต่อมา นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็เด้งรับทันที โดยย้ำว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตได้เกิน 3% เพื่อเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยในปี 2569 สามารถขยายตัวได้ที่ระดับ 4-5% หากนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการเห็นผลชัดเจนทั้งหมด
“ยืนยันว่ามีโอกาสที่ปี 68 จะได้เห็น GDP เติบโตได้เกิน 3% ซึ่งตรงนี้จะกลายเป็นแรงส่งที่ดีให้เศรษฐกิจในปี 2569 ให้ขยายตัวได้ถึง 4-5% แต่ยอมรับว่าอาจจะต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมาก เพราะต้องยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจของเรามีค่อนข้างเยอะ และอาจจะต้องใช้เวลา 1-2 ปีที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อทำให้เศรษฐกิจสามารถกลับมาเติบโตได้ตามที่คาดหวังไว้" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ
นอกจากนี้ยังมีบรรดารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ต่างออกมายืนยันไปในทางเดียวกัน ว่าจีดีพีปีนี้จะโตได้ร้อยละ 3 และปี 69 ถึงปี 70 จะโตพรวดถึงร้อยละ 5 ขึ้นไป
อย่างไรก็ดี กลับมีความเห็นจาก ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ที่ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่าจะเติบโตแค่ 2.7% จากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยว การลงทุนภาคเอกชน และมาตรการของภาครัฐ แนะปรับตัวรับมือ 5 ประเด็นความท้าทาย พลิกเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อเนื่อง โดย นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า Krungthai COMPASS ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ระดับ 2.7% จากแรงกดดันของสงครามการค้าที่กลับมาเร่งตัวขึ้นและความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การส่งออกอาจขยายตัวเพียง 2% ชะลอลงจากปีก่อน แม้ในครึ่งปีแรกคาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี แต่ความชัดเจนเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะกดดันการส่งออกช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้างด้านการส่งออกสินค้าที่ยังมีอยู่ท่ามกลางการตีตลาดที่รุนแรงและขยายวงมากขึ้นจากปัจจัย Oversupply ในจีน
สำหรับภาคการท่องเที่ยว เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาใกล้เคียงระดับก่อนโควิด-19 ที่ 39 ล้านคน เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชน ที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัวตามแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เติบโต โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจแห่งอนาคต ขณะที่ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการที่จะทยอยดำเนินการในช่วงครึ่งแรกของปี ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2 และเฟส 3 รวมถึงมาตรการ Easy E-Receipt ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกมีโมเมนตัมและเติบโตได้ดี อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีความจำเป็นที่ภาครัฐอาจพิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS มองว่า ปี 2568 นี้ เป็นปีแห่งจุดพลิกผันสำคัญ (Inflection point) ของเศรษฐกิจไทย โดยมีความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนในหลากหลายมิติ
สอดคล้องกับมุมมองของ ทีทีบี ธนาคารทหารไทยธนชาติ ที่มองว่าการเติบทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะโตแค่ 2.6 เท่านั้น
ดังนั้นหากพิจารณากันกันตามคำพูดและเหตุผล ความเชื่อของแต่ละฝ่าย ถือว่าคนละอย่างกัน ฝ่าย นายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลหากมองในเรื่องของการตั้งเป้าหมายก็เป็นไปได้ เพราะเหมือนกับว่า เป็นการ “ตั้งเป้าไว้สูง” ไว้ก่อน
ขณะที่อีกฝ่ายคือ ทางฝ่ายธนาคาร ที่เป็นวิจัยทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ “สภาพัฒน์ฯ” ที่วิเคราะห์จากปัจจัยต่างๆ รอบด้าน จึงออกมาอีกทาง โดยเฉพาะปัญญาและอุปสรรคต้องเจอในปีนี้ เช่น ปัญหาการส่งออก และที่ต้องเจอแน่ๆ ก็คือ การกีดกันทางการค้า และจากนโยบายด้านขึ้นภาษีของ รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเริ่มเข้าบริหารในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขณะเดียวกันยังงต้องเจอกับการแข่งขันกับสินค้าจีนราคาถูกที่ทะลักเข้ามาตีตลาดในบ้านเรา
แม้แต่การท่องเที่ยวที่กลายเป็นพระเอกมาตลอด ในปีนี้ก็มีการคาดหมายว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวก็ยังใกล้เคียงกับปีก่อนคือ ราว 39-40 ล้านคน แม้จะใกล้เคียงกับช่วงก่อนโรคโควิดระบาด แต่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงที่ตัวเลขจะไม่ขยับเพิ่มไปมากกว่านี้มากนัก
เอาเป็นว่าในปีนี้ยังเต็มไปด้วยปัญหาที่สะสมมาเป็นเวลานาน ปัญหาในภาคอุตสาหกรรม การผลิตและส่งออกรถยนต์ ที่กำลังมีปัญหาการผลิตที่ลดลง โดยเฉพาะประเภทรถยนต์สันดาป ขณะที่การส่งออกเคยเป็น “แรงส่ง” หลักของประเทศมาเป็นเวลานานเริ่มถดถอยมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภายในกำลังติดกับดักเรื่อง “หนี้ครัวเรือน” การลงทุนไม่ขยายตัว
ขณะที่ความเชื่อมั่นในรัฐบาล โดยเฉพาะตัว นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่มีไม่เต็มร้อย มีปัญหาเรื่องวุฒิภาวะ ความรู้ความสามารถ ขาดทักษะในการบริหารประเทศ จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ผลักดันให้ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็น “พ่อนายก” ต้องออกโรงเองไม่ต่างจากการเป็นนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว ทั้งออกนโยบาย สั่งการ ให้สร้างความมั่นใจ
อย่างไรก็ดีการออกมาการันตีเรื่องอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในปีนี้ ที่มั่นใจว่าจะโตร้อยละ 3 นั้นถือว่ากล้ามาก เพราะเป็นการสวนทางกับบรรดากูรูทางเศรษฐกิจมากมาย แม้ว่าอาจเป็นไปได้ที่จะโตตามเป้าหมายดังกล่าว แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยรอบตัว และอุปสรรคจากภายนอกจากสงครามการค้าจากประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ ที่กระทบมาถึงไทย มองแล้วทุกอย่างดูมึดทะมึนไปหมด
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเอาใจช่วยให้เป็นไปตามคาดหวัง แต่หากมองอีกมุมหนึ่งในทางการเมือง การออกมาทุ่มสุดตัวแบบนี้ การ “ปั่น” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแบบนี้ แต่หากผลออกมาเป็นตรงกันข้ามมันก็จบเห่ โดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยิ่งต้องตกที่นั่งลำบาก มีความเสี่ยงสูงทันที !!