คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เปิดเผย 3 แนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยให้ความสำคัญกับการปกป้องเยาวชน การพัฒนากฎหมายที่ครอบคลุม และสร้างความสมดุลระหว่างสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ กรุงเทพฯ – วันนี้ (15 ม.ค.) นพ. นิยม วิวรรธนดิฐกุล ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย แถลงผลการศึกษาที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และกฎหมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าที่แพร่ระบาดในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเสนอ 3 แนวทางหลักให้รัฐบาลพิจารณา
เป้าหมายของการจัดตั้งคณะกรรมาธิการฯ
นพ. นิยม ระบุว่า การจัดตั้งคณะกรรมาธิการฯ มีเป้าหมายชัดเจน คือการศึกษาและพัฒนากฎหมาย รวมถึงมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องเด็กและเยาวชนที่มีแนวโน้มใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
"เรามุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้าน และศึกษาข้อดีข้อเสียของทุกแนวทาง เพื่อเสนอแนะรัฐบาลในการตัดสินใจนโยบายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทย" นพ. นิยม กล่าว
บทสรุป 3 แนวทางจัดการบุหรี่ไฟฟ้า คณะกรรมาธิการฯ ได้นำเสนอ 3 แนวทางหลักให้รัฐบาลพิจารณา ได้แก่
1. การคงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ (Total Ban)
- แนวทางนี้เสนอให้ยังคงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบเช่นเดิม แต่ปรับปรุงและเพิ่มความเข้มข้นของกฎหมาย เช่น การป้องกันการลักลอบและการกระทำผิด
- เหมาะสำหรับการลดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
2. การอนุญาตเฉพาะผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (Heated Tobacco Products)
- ผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อน เช่น Heated Tobacco Products (HTPs) สามารถนำมาควบคุมภายใต้กฎหมาย ในขณะที่ยังคงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นไอระเหย (vaping) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อเยาวชน
- ช่วยลดสารพิษจากการเผาไหม้ที่มักพบในบุหรี่ทั่วไป
3. การทำให้บุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบถูกกฎหมาย (Full Legalization)
- เปิดโอกาสให้นำบุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมดขึ้นมาอยู่ในระบบกฎหมาย พร้อมกำหนดเงื่อนไขและมาตรการควบคุม เช่น การจำกัดการขายในกลุ่มผู้ใหญ่เท่านั้น และห้ามแต่งสีหรือกลิ่นที่ดึงดูดเด็กและเยาวชน
ข้อดีและข้อเสียของแต่ละแนวทาง
การแบนบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ (Total Ban)
• ข้อดี:
- ลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน
- ลดค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุข
• ข้อเสีย:
- ตลาดมืดยังคงมีอยู่ และเป็นเรื่องยากในการบังคับใช้กฎหมาย
การอนุญาตเฉพาะผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อน (Heated Tobacco Products)
• ข้อดี:
- ลดสารพิษจากการเผาไหม้
- ควบคุมผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น
- เก็บรายได้จากภาษี
• ข้อเสีย:
- ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพ
- อาจต้องปรับปรุงกฎหมายเพิ่มเติม
การทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายทั้งหมด (Full Legalization)
• ข้อดี:
- ลดการลักลอบ และเพิ่มรายได้จากภาษี
- ควบคุมการใช้งานได้ดีขึ้น
• ข้อเสีย:
- อาจเพิ่มการเข้าถึงในกลุ่มเยาวชน
- ต้องพัฒนามาตรการควบคุมอย่างละเอียด
ความคิดเห็นจากกรรมาธิการฯ และเสียงสะท้อนจากผู้เกี่ยวข้อง นพ. นิยม วิวรรธนดิฐกุล กล่าวว่าคณะกรรมาธิการฯ ไม่มีธงในการตัดสินใจ แต่เน้นเสนอแนะแนวทางที่ครอบคลุมเพื่อให้รัฐบาลตัดสินใจ โดยเป้าหมายสูงสุดคือการปกป้องเด็กและเยาวชน รวมถึงการลดปัญหาสุขภาพและสังคมที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้า
นายทศพร ทองศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า "การไม่สูบบุหรี่คือสิ่งที่ดีที่สุด แต่หากต้องเลือกแนวทางการควบคุม ผมเห็นว่าการอนุญาตเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น Heated Tobacco Products เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากสามารถลดผลกระทบต่อสุขภาพ และสร้างเสรีภาพให้กับผู้บริโภค"
ข้อกล่าวหาและการชี้แจงเกี่ยวกับการเดินทางไปดูงานต่างประเทศ นพ. นิยม ชี้แจงว่า การเดินทางไปดูงานที่ประเทศจีนเป็นการศึกษาเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและกระบวนการผลิตบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมทั้งเปรียบเทียบแนวทางการควบคุมในประเทศต่างๆ เช่น สิงคโปร์ ที่มีการแบนบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด
“การศึกษาจากประเทศจีนทำให้เราเข้าใจการพัฒนาของผลิตภัณฑ์ในอนาคต เช่น การใช้ในรูปแบบสูด อม หรือดม ซึ่งจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายและมาตรการควบคุม” นพ. นิยม กล่าว
ข้อเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายและแนวทางในอนาคต
คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่ากฎหมายปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การพึ่งพากฎหมายเก่า เช่น พ.ร.บ. ศุลกากร และประกาศกระทรวงพาณิชย์ อาจไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่เปลี่ยนแปลงได้
“เราจำเป็นต้องเสนอให้รัฐบาลร่างกฎหมายใหม่ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้สามารถควบคุมได้อย่างครอบคลุมและทันสมัย” นพ. นิยม กล่าว
สำหรับกระบวนการต่อไป รายงานฉบับเต็มของคณะกรรมาธิการฯ ได้ถูกส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา หากได้รับการอนุมัติ รัฐบาลจะต้องตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสม พร้อมอาจมีการแก้ไขหรือร่างพระราชบัญญัติใหม่เพื่อควบคุมผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าในอนาคต