เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดเมื่อวันจันทร์ที่ 13 มกราคม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ เห็นชอบหลักการ ร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้จะจัดส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา พร้อมกับให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดูเพิ่มเติมบางประเด็น ที่เป็นข้อห่วงใยทั้งทางกฎหมาย และสังคม
สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ โดยเฉพาะการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสภานั้น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานวิปรัฐบาล บอกว่า ก่อนที่จะส่งมายังวิปรัฐบาล จะต้องส่งไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาก่อน โดยใช้เวลาประมาณ 45 วัน คาดว่าจะนำกลับมาพิจารณาในสภาฯ ได้ทันในสมัยประชุมนี้ โดยอาจจะเป็นสัปดาห์สุดท้ายเพราะต้องเป็นไปตามขั้นตอน
เขากล่าวว่า วิปต้องขอดูรายละเอียดก่อน และไม่ทราบว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นอย่างไร แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะ ณ วันนี้ยังไม่มีใครทักท้วงอะไร และฟังจากความเห็นของกฤษฎีกา ก็ไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่มีข้อเสนอหลายเรื่องว่าควรจะทำให้ชัดเจน และชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ไม่ได้เป็นบ่อนการพนันอย่างเดียว แต่มีหลายอย่างที่จะช่วยสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ต้องไปชี้แจงกับพี่น้องประชาชน
ส่วนกรณีที่ยังคงมีเสียงคัดค้านจากประชาชนบางส่วนนั้น เป็นหน้าที่ที่เราต้องรับฟัง แต่วันนี้ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวยังส่งมาไม่ถึงวิป จึงต้องมาดูรายละเอียดทั้งหมดก่อน ฉะนั้น ตอนนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจ ว่าสถานบันเทิงครบวงจร คืออะไร
“ผมอยู่การเมืองมานาน ก็พูดกันตลอดว่าทำอะไรให้มันถูกต้อง ห้ามก็ไม่ได้ อยู่ใต้ดินก็ดึงขึ้นมาให้ถูกต้อง เสียภาษีให้ถูกต้อง คนไม่มีตังค์ก็อย่าเข้าไปเล่น อย่าเข้าไปสร้างปัญหา นานาชาติเขาก็มีหมด แม้แต่มาเลเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมเขาก็มี ดังนั้นของเราถ้าไม่ทำอะไร ก็ไปประเทศเพื่อนบ้านหมด ขนเงินไปเพื่อนบ้าน จะห้ามคนไม่ให้เล่นก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนให้รับทราบข้อดีข้อเสีย” นายวิสุทธิ์ กล่าว
เอาเป็นว่า กว่าจะนำกลับเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรก็น่าจะใช้เวลาประมาณอีกสองเดือนข้างหน้า คาดว่าเป็นสัปดาห์สุดท้ายของสมัยประชุม ตามที่ประธานวิปรัฐบาลคาดหมายเอาไว้
อย่างไรก็ดี ต้องจับตาดูการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่จะต้องพิจารณาข้อสังเกต ข้อห่วงใย โดยเฉพาะการพิจารณาร่างกฎหมาย ก่อนเสนอกลับเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกรอบ ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาเปิดเผยว่า เขาได้หารือกับเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี อีกรอบ
อย่างไรก็ดี หากต้องการให้เป็นเรื่อง “เร่งด่วน” ก็สามารถ “ลัดคิว”เลื่อนวาระเข้ามาพิจารณาก่อนได้อยู่แล้ว และยิ่งถือว่าเป็นนโยบายของ “นายใหญ่” อย่างนายทักษิณ ชินวัตร ที่ลงทุนออกโรงอย่างเต็มที่ มันก็ต้องสนองกันสุดตัว
แน่นอนว่า คำว่า “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่อ้างว่ามีทุกอย่างครบครันอยู่ในนั้น เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว ที่ “มนุษย์สร้างขึ้น” แต่ที่ถูกมองอย่างรู้ทันก็คือของจริงที่ “ซ่อน” อยู่ข้างในก็คือ “บ่อนการพนัน” นั่นเอง แม้ว่าจะบอกว่าเป็นการ “ตั้งบ่อนถูกกฎหมาย” ก็ตาม
ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงเป้าหมาย ก็ต้องถึงบางอ้ออยู่แล้วว่า เรื่องบ่อนการพนัน นี่แหละคือเป้าหมายแท้จริง แม้ว่าจะเป็นเรื่อง “อ่อนไหว” แต่เมื่อมองถึงผลประโยชน์และรายได้แล้ว ถือว่ามหาศาลมาก อย่างที่รับรู้กันก็คือ การลงทุนเปิดบ่อนการพนันแต่ละแห่ง ไม่ต่ำกว่า แสนล้านบาท ซึ่งตามเป้าหมายเดิมมีการกำหนดเอาไว้ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 8 แห่ง กระจายไปตามจังหวัดสำคัญ โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ๆ และเขตพื้นที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว และหนึ่งในนั้นก็มีกรุงเทพมหานคร รวมอยู่ด้วย ที่ผ่านมามีการกำหนดเอาพื้นที่ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย บริเวณท่าเรือกรุงเทพ หรือ “ท่าเรือคลองเตย” โดยมีการศึกษาการใช้พื้นที่เอาไว้ตั้งแต่ยุคที่ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร
เมื่อพูดถึงเรื่อง “บ่อน” แล้วสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นเมืองพุทธศาสนา และยังถือว่าเป็น “อบายมุข” เป็นที่อโคจร ไม่ควรเข้าไปเฉียดใกล้ แม้จะบอกว่าจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวด แต่เชื่อเถอะเอาเข้าจริงมันก็ไม่สามารถควบคุมได้จริง อีกทั้งประเทศไทย เต็มไปด้วยการทุจริต ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และเอกชนที่เป็นนายทุน ไม่ว่าจะเป็นพวก “ทุนสีเทา” ทั้งหลายจะพาเหรดเข้ามา
และที่สำคัญข้ออ้างที่ว่าจะเป็นการนำบ่อนใต้ดินผิดกฎหมายขึ้นมา ทำให้ถูกต้อง มีการเสียภาษีสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่คำถามก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเมื่อมีบ่อนถูกกฎหมายแล้ว “บ่อนผิดกฎหมาย” จะหายไป หรือแม้แต่เรื่องที่บอกว่า จะครอบคลุมไปถึงเรื่องการ “พนันออนไลน์” ด้วยก็ยิ่งไปกันใหญ่ เอาเข้าจริงเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาจริงๆ จะทำให้เกิดเสียงคัดค้านมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน
การอ้างถึงผลดีทางเศรษฐกิจ เป็นการเพิ่มจีดีพี มีการเทียบเคียงกับประเทศข้างเคียง หรือต่างประเทศที่อนุญาตให้มีบ่อนกาสิโน ก็มักยกส่วนดีมาเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ขณะที่ผลเสียที่ตามมามากมาย กลับไม่พูดถึง และที่สำคัญประเทศเหล่านั้น ไม่ได้เน้นเรื่อง บ่อนการพนัน มาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือเป็นข้ออ้างในเรื่องการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้ว โครงการ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือการมี “บ่อนการพนัน” ซ่อนอยู่ภายใน เป็นเป้าหมายหลัก จะต้องมีเสียงคัดค้านดังลั่นมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งนานไปก็จะเห็น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ของบรรดานายทุน ทั้งในและต่างประเทศ กลุ่ม “ทุนเทา” ทั้งหลายที่ร่วมมือกับนักการเมืองในรัฐบาล ก็จะยิ่งเห็นภาพ และเห็นตรงกันว่า เป็นโครงการที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง และถูกมองว่าเป็นการสร้างความวิบัติให้กับสังคมไทยอย่างแท้จริง
ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า การเปิด “บ่อนการพนัน” โดยอ้างเรื่องแหล่งบันเทิงครบวงจรบังหน้า จะเกิดยาก และจะเกิดแรงต่อต้านอย่างรุนแรง และยังเชื่อว่าจะเป็นครั้งแรกที่นายทักษิณ ชินวัตร คนที่ผลักดันเรื่องนี้จะต้อง “โดน” หนักๆ จะเป็นการเพิ่มแรงสะสมความไม่พอใจจากสังคมรอบข้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะจะกลายเป็นเรื่องของ “ผลประโยชน์” เพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจผลเสียอื่นที่จะตามมา!!