xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ”ปากพาจน ยิ่งพูดยิ่งพัง!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

มีหลายคนบอกว่า หากต้องการทำลาย นายทักษิณ ชินวัตร ต้องปล่อยให้เขาได้พูดได้แสดงความเห็นอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก เพราะล่าสุดจากการเดินสายปราศรัยช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหลายจังหวัด รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์อย่างเมามัน มีทั้งด่าว่า เหยียดหยามฝ่ายตรงข้ามอย่างหยาบคาย ล่าสุดยังลามปามไป “บูลลี่” เหยียดสีผิวชาวแอฟริกา จนมีเสียงวิจารณ์กลับมาอย่างรุนแรง และเสี่ยงที่จะกระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศไทยตามมาอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปราศรัยของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในลักษณะเหยียดเชื้อชาติและสีผิว ของคนแอฟริกันนั้น กสม. มีความห่วง กังวลต่อการกระทำดังกล่าวอันเป็นการลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชนอื่น ซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับ โดยเฉพาะอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (CERD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐบาลมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม

การปราศรัยดังกล่าว แม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่เมื่อคำนึงถึงสถานะทางสังคมของผู้พูดซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อสังคม การสื่อสารอันเป็นการเหยียดและด้อยค่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่ง เพราะพื้นฐานความคิดที่ว่าคนเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใดเหนือกว่าชนเชื้อชาติอื่น อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติระหว่างมนุษย์และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสัมพันธ์และสันติภาพระหว่างชาติ ดังจะเห็นได้จากบทเรียนในอดีตของมนุษยชาติ ซึ่งการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว และเผ่าพันธุ์ ได้ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

กสม. เห็นว่าในขณะที่รัฐบาลไทยในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญา CERD มีหน้าที่ต้องจัดให้มีนโยบายและการปฏิบัติที่นำไปสู่การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบรวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจระหว่างคนทุกชนชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่ไทยเพิ่งได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ คือ การเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council – HRC) วาระปี 2568 – 2570 นี้ บุคคลสาธารณะและผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของไทยจึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและร่วมส่งเสริมให้สังคมตระหนักและเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นโดยไม่แบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อกันด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ สีผิว หรือสถานะทางสังคมอื่นใด รวมทั้งไม่สื่อสารในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกลุ่มคนอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและสร้างสรรค์บนพื้นฐานของการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทุกคน

นั่นเป็นตัวอย่าง และผลกระทบจากคำพูดที่ไม่เคยระวังของ นายทักษิณ ชินวัตร จนถูกประณามจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน จากคำพูดในลักษณะที่เหยียดหยาม ดูหมิ่นเชื้อชาติ อาจกระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศ กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะนิสัยดั้งเดิมของ เขา อยู่แล้ว เนื่องจากหากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมา ยิ่งในยุคที่เขาเรืองอำนาจ จะมีความ “หนักหน่วง” กว่านี้อีกหลายเท่า ถึงขั้นถูกมองว่า “เหิมเกริม” ไม่เกรงใจใคร ดังที่เคยมีเหตุการณ์ใน “วัดพระแก้ว” ที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมมาแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย จนถูกศาลพิพากษาคดีทุจริตหลายคดี หลายเรื่องราวจนกลายเป็น “เงื่อนไข” ในการก่อรัฐประหาร จนต้องหลบหนีออกนอกประเทศไปเกือบยี่สิบปี

กลับมาครั้งนี้ หลายคนยังมองว่า เขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยไปจากเดิมนัก ที่เปลี่ยนไปก็คือเขามีอายุที่มากขึ้น กลายเป็น “ผู้สูงวัย” เท่านั้น แต่สำหรับนิสัย คำพูด รวมไปถึงท่าทีต่างๆ แทบจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ตรงกันข้ามอาจจะรุนแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ดี สาเหตุที่ นายทักษิณ มีอารมณ์รุนแรงในเวลานี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขามีความกดดันภายในที่หนักหน่วงกว่าเดิม หนึ่งอาจเป็นเพราะเขายังควบคุมบางอย่างไม่ได้ บางอย่างไม่เป็นไปตามที่คาด ที่เห็นชัดก็คือเขาผลักดันลูกสาวสุดหวง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผลที่ตอบรับกลับมาถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถสร้างผลงานให้ออกมาน่าประทับใจมากนัก กลายเป็นว่ากำลังถูกตั้งคำถามในเรื่องความรู้ความสามารถ

เพราะตลอดระยะเวลา ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มานานกว่า 4 เดือน นอกจากยังไม่อาจสร้างผลงานได้เป็นชิ้นเป็นอัน หลายนโยบายที่เป็น “เรือธง” กลับไม่อาจดำเนินการได้สำเร็จ หรือ ไม่ก็ “ไม่ตรงปก” จนทำให้ คะแนนความนิยม “ไม่ปัง” อย่างที่คาดเอาไว้ ภาพลักษณ์ของ “คนรุ่นใหม่” กลับไม่อาจนำมาใช้เป็นจุดขายได้เลย

เมื่อวกกลับมาที่ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ล่าสุดต้องออกมาเคลื่อนไหวอย่างเต็มตัว ส่วนสำคัญก็ล้วนมาจากสาเหตุของ “ลูกสาว” ที่ยังทำผลงานไม่ได้ตามที่คาดหวังเอาไว้ และจากฉายา “พ่อเลี้ยง” ความหมายก็คือ ทุกอย่างของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์และชี้นำจาก จาก “พ่อ” คือ นายทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ

การออกมาพูด การแสดงความเห็นในลักษณะ “สติแตก” ดังกล่าวในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการวิเคราะห์กันส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีสาเหตุจากมีความกดดันมากมายดังกล่าว นอกเหนือจากกรณีของลูกสาว ที่ผลงานยังไม่เข้าเป้า สะท้อนจากผลสำรวจที่ออกมายังไม่เปรี้ยงปร้าง ขณะเดียวกันในเรื่องของตัวเองการตรวจสอบบางเรื่องกำลังงวดเข้ามา โดยเฉพาะกรณี “เทวดาชั้น 14” ที่กำลังจะได้ข้อสรุป อย่างน้อยกรณี “แพทยสภาฯ” กำลังจะได้รับคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในวันที่ 15 มกราคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากผลออกมาเป็นลบ มันก็อาจเป็น “สารตั้งต้น” สำหรับการ “กลับเข้าคุก” อีกรอบก็เป็นไปได้สูง

ดังนั้น หากพิจารณาจากคำพูดและความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร “พ่อเลี้ยง” ของรัฐบาลที่มีอาการเหมือนกับคุณ “สติแตก” ล้วนเป็นเพราะความกดดันจากภายใน ขณะเดียวกัน คำพูดที่ออกมาแบบรุนแรงและหยาบคายดังกล่าว มันก็เหมือนกับการทำลายตัวเอง อีกทั้งยังส่งผลกระทบในทางลบไปทั่ว เหมือนกับว่าหากต้องการทำลายเขา ก็ต้องปล่อยให้เขาพูดให้เต็มที่ เหมือนกับว่า “ปากพาจน ยิ่งพูดยิ่งพัง” นั่นแหละ


กำลังโหลดความคิดเห็น