เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาจากบทบาทของ นายทักษิณ ชินวัตร “พ่อนายกฯ” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ เหมือนกับการเร่งเครื่องเต็มพิกัด สวมบทบาทนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มตัว แบบไม่มีเหนียมอาย หรือปิดบังใดๆ อีกแล้ว
จากการเดินสายปราศรัยช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหลายจังหวัดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา จะเห็นว่า ทุกคำพูดล้วนไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรีเต็มขั้น ทั้งออกนโยบาย สั่งการ พูดไปถึงเรื่องการยุบสภา ปรับคณะรัฐมนตรี เรียกว่าขนาด “ลูกสาว” ตัวเองยังไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน
คำปราศรัยก่อนหน้านี้ของนายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นปราศรัยในฐานะผู้ช่วยหาเสียงที่จังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 5 มกราคม บางตอน ว่า มานั่งดูปัญหาทุกเรื่อง สิ่งที่เคยแก้ไว้ในสมัยก่อน มันหาย หายไปหมด 17-18 ปีที่ตนไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ระบบเสียหายไปหลายอย่าง วันนี้เลยต้องมานั่งดูว่าจะทำอย่างไรบ้างที่จะทำให้ต่างจังหวัดฟื้นก่อน หากเศรษฐกิจในต่างจังหวัดฟื้น มีกินมีใช้ อีกหน่อยเศรษฐกิจประเทศก็จะดี
“หมู่คนแอฟริกา ดำก็ดำ จมูกก็แหมบ หายใจก็ยาก โดนเขาจ้างไปเป็นนางแบบ เดินแบบครั้งหนึ่งเป็นล้านบาท เด็กบ้านเรายังหน้าตาดีกว่า ไม่ต้องไปทำจมูก เสริมกราม ต่อไปนี้เราจะคัดคนบ้านเราที่เป็นชนชาติไทย คนดอย คนกะเหรี่ยง ที่สวยธรรมชาติ ไม่ต้องไปเสียเงินทำจมูก เสริมนม ใครบุคลิกดี ก็ส่งไปเป็นนางแบบระดับโลก”
นายทักษิณ กล่าวถึงนโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลประกาศไว้ เทคโนโลยีจะเสร็จเดือน มีนาคม พอเสร็จแล้วเราก็จะโอนเงินให้คนที่มีอายุ 60 ลงมา ส่วนวันที่ 29 ม.ค. นี้ จะเป็นเงินให้สำหรับคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และจะให้คนหนุ่มสาวเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี เพราะอีกหน่อยการติดต่อกับรัฐบาลจะผ่านดิจิทัลวอลเล็ตหมด เงินไม่ใช่ทุกอย่างแต่เป็นเกือบทุกอย่าง ถ้าไม่มีเงินไม่รู้จะทำอย่างไร ใช้เงินสร้างเศรษฐกิจ สร้างความสุขในครอบครัว ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็ลำบาก ตนได้ไปพบกับคนๆ หนึ่ง เขามาหาตน บอกมีวันนี้ได้ เพราะสมัยที่ตนเป็นนายกฯ กลับมาวันนี้ตนเห็นประเทศทรุดไปมาก ถามว่า จะทำได้หรือไม่ ทำได้ แต่อาจจะยากหน่อย
นอกจากนี้ เขายังย้ำว่าจะจัดการกับปัญหา คอลเซ็นเตอร์ และยาเสพติดให้สิ้นซาก ภายในปีนี้ รวมไปถึงการลดค่าไฟฟ้า ให้เหลือหน่วยละ 3.70 บาท
“บ้านเรามีเสือนอนกิน มีทุกที่ทุกวงการ กำลังนั่งไล่ให้รัฐมนตรีไปพูดกับข้าราชการ ก็มีคำแก้ตัวสารพัด นายกฯ ก็ไปพูดกับรัฐมนตรีว่า ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้จะเปลี่ยนคนมาแทน รัฐมนตรีจึงจะกระเตื้อง อย่างเช่น เรื่องข้าว เรื่องไฟฟ้า ปีนี้ค่าไฟฟ้าจะต้องลงไปอยู่ที่เลข 3 ไม่ใช่เลข 4 ใจตนอยากให้เหลือ 3.50 บาท แต่คงได้แค่ 3.70 บาท กำลังให้เค้าช่วยทุบอยู่ ปีนี้ค่าไฟลงแน่ เห็นตัวเลขแล้วทุบได้ ต่อไปค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย ค่ายา ก็จะให้ลง เรื่องนี้จะต้องทำให้เป็นจริงภายในปีนี้ให้หมดทุกอย่างถึงบอกว่า ปีนี้รัฐบาลต้องทำงานหนัก 1. ยาเสพติด ต้องเอาให้เกลี้ยง 2. Call Center ต้องเอาให้เกลี้ยง 3. การผูกขาดทุกรูปแบบต้องเอาให้หมด เพื่อให้พี่น้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตต่ำลง ทำรายได้ให้ดีขึ้น มีโอกาสดีขึ้น ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในปี 68”
นั่นเป็นคำพูดบางตอนของ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหากไม่มองฐานะที่แท้จริงแล้ว ถือว่าเป็นคำพูดของ นายกรัฐมนตรี เลยทีเดียว เพราะถือว่า “ใหญ่โต” มาก และยังมีหลายเรื่องหลายนโยบายที่เขากล่าวถึง
อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันอีกมุมหนึ่งก็น่าจะเข้าใจได้ เพราะยิ่งเขาออกตัวแรงมากเท่าใด นั่นก็หมายความว่า เป็นอาการที่อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ หรือจะเรียกว่า “นั่งไม่ติด” แล้ว เพราะอย่างที่รับรู้กันดีว่า การผลักดันลูกสาว คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าที่ผ่านมาผลงานทำได้น่าผิดหวัง ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน มิหนำซ้ำยังถูกจับตามอง ถูกวิจารณ์ในเรื่องปัญหาวุฒิภาวะ ในเรื่องความรู้ความสามารถ จนถึงกับได้ฉายา “นายกฯไอแพด” กันเลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งหากพิจารณากันตามกระแสจะเห็นว่าในช่วง สามสี่เดือนที่ผ่านมา ไม่ได้ปังอย่างที่คิด ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมายนัก
ดังนั้นหากมองในมุมนี้ก็อย่าได้แปลกใจที่ทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร นั่งไม่ติดต้องออกมาแสดงบทบาทอย่างเต็มตัว แบบเปิดเผย เพราะแม้ว่าที่ผ่านมาแทบทุกคนย่อมมองออกอยู่แล้วว่าเขาบงการอยู่ข้างหลัง นายกรัฐมนตรี สั่งการอยู่ข้างหลัง เพราะหลายนโยบายสำคัญล้วนออกมาจากปากของ เขามาก่อนทั้งสิ้น
อีกทั้งยังมองเห็นว่า การออกมาแบบเต็มตัวของ นายทักษิณ เที่ยวนี้ มันก็เหมือนกับการวางเดิมพันกันหมดหน้าตัก โดยเฉพาะการแก้ปัญหา “ปากท้อง” หากผิดพลาด หรือทำไม่ได้ตามที่พูดอวดอ้างเอาไว้ ทุกอย่างก็จะพังกันไปหมด แต่ถึงอย่างไร หากในที่สุดแล้ว “อุ๊งอิ๊ง” พัง นั่นก็ย่อมหมายความว่า “ทักษิณ” ก็ต้องพังไปด้วย เพราะสังคมรับรู้กันแล้วว่า ทุกอย่างมาจาก นายทักษิณ แบบ “พ่อคิด พ่อสั่งให้ลูกทำ” นั่นแหละ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมแล้ว ไม่ว่าภายในภายนอก ล้วนไม่เอื้อพวกเขาสมหวังได้ง่ายดายนัก สำหรับภายนอกนั้น ในปีนี้คาดการณ์กันว่าจะเกิดสงครามการค้า การกีดกันการค้าอย่างขนานใหญ่ หว่างประเทศมหาอำนาจ ทำให้การส่งออกมีความยุ่งยาก ขณะเดียวกันก็ย่อมส่งผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจภายใน อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้มีการทำนายไว้ล่วงหน้า ว่าในปีนี้ ไทยจะมีปัญหาเศรษฐกิจหนักหน่วงกว่าปีที่แล้ว อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ น่าจะต่ำกว่าร้อยละ 3 ค่อนข้างแน่
เมื่อมองในมุมแบบนี้แล้วจึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็น นายทักษิณ ชินวัตร ต้องแสดงบทบาทนายกรัฐมนตรีเต็มตัว แบบไม่ต้องกั๊กกันอีกต่อไป และด้วยอาการ “นั่งไม่ติด” แบบนี้ มันก็เหมือนกับการวางเดิมพันครั้งใหญ่ เพราะหากพลาดหมายถึงจบเห่ทั้งขบวน แต่ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศและสถานการณ์รอบข้างแล้ว โอกาสที่จะกลับมาแบบสำเร็จนั้นยากเต็มที ตรงกันข้ามโอกาสที่จะถูกเขี่ยตกเวทีก่อนกำหนดนั้นสูงมากเสียด้วย
จนมีการจับตามองว่า นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อยู่เกินปีนี้ได้หรือเปล่า ขณะที่ตัวของ นายทักษิณ เอง กำลังล้อมกรอบเข้ามาเรื่อยๆ จากกรณี “เทวดาชั้น 14” เชื่อว่าไม่เกินปีนี้เช่นเดียวกันก็จะสรุปแล้วว่า จะทำให้ตัวเอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องเข้าคุกกันหรือไม่ !!