xs
xsm
sm
md
lg

42 ปี สืบสาน รักษา ต่อยอด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ จากเพื่อมีกินมีใช้ วันนี้ก้าวสู่ธุรกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



42 ปี สืบสาน รักษา ต่อยอด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ จากเพื่อมีกินมีใช้ ก้าวสู่ธุรกิจ “เลขา กปร.” เผยจากเป้าหมายผลิตให้มีกินในครอบครัว วันนี้ก้าวสู่ผู้ประกอบการได้แล้ว ด้วยแนวพระราชดำริ 

วันนี้ (4 ม.ค. 2568) นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปิดเผยภายหลังพิธีเปิดงานนิทรรศการ “42 ปี สืบสาน รักษา ต่อยอด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นประธานในพิธี ว่า จากการดำเนินงานตามแนวพระราชดำริ ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ จวบจนปัจจุบัน (พ.ศ. 2567) ครบ 42 ปี กว่า 4 ทศวรรษ ภายใต้แนวทาง “ต้นทางคือป่าไม้ ปลายทางคือประมง ระหว่างทางคือเกษตรกรรม” ประชาชนได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้จากตัวอย่างความสำเร็จวิธีการทำกินและการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม โดยมีหลักสูตรฝึกอบรมที่โดดเด่น 32 หลักสูตร ใน 5 ด้าน ประกอบด้วย ดิน น้ำ ป่าไม้ พืช และประมง

“ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีประชาชนเข้าอบรมกว่า 662 คน และศึกษาดูงานกว่า 16,744 คน มีเกษตรกรขยายผลที่ประสบความสำเร็จ 192 ราย โดยเกษตรกรเหล่านี้ได้น้อมนำพระราชดำริมาเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพ เพื่อให้มีกินมีใช้ไม่ขัดสน ปัจจุบันได้ต่อยอดขยายผลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงการแปรรูปผลผลิต นับเป็นผลสำเร็จในการขยายผลจากศูนย์ศึกษาฯ สู่ประชาชนอย่างชัดเจน จากเป้าหมายเพื่อการผลิตให้มีกินมีใช้ในครอบครัว จนสามารถยกระดับสู่ผู้ประกอบการที่มีผลิตภัณฑ์เป็นของตนเอง และได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค” นางสุพร กล่าว


นางสุพร กล่าวด้วยว่าศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดเชียงใหม่ 1ใน 6 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ตัวอย่างผลสำเร็จของการพลิกฟื้นคืนความสมบูรณ์แก่พื้นที่ป่า 8,500 ไร่ ด้วยการศึกษาทดลองภายใต้สภาพภูมิประเทศและภูมิสังคมในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตเพื่อให้ประชาชนได้มาศึกษาเรียนรู้และนำไปปฏิบัติในพื้นที่ของตนเอง


ด้านนายสุจินต์ แสงแก้ว เกษตรกรศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริด้านการเพาะเลี้ยงกบและขยายพันธุ์กบ กล่าวว่า ได้นำผลสำเร็จในการประกอบอาชีพที่ได้รับความรู้จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯมาจัดแสดงด้วยแนวคิด “จากสัตว์ในท้องนาพัฒนาสู่…สัตว์เลี้ยงสร้างรายได้ และจากสัตว์ปีกสวยงามพัฒนาสร้างเป็นสัตว์เศรษฐกิจสู่สากล”


ศูนย์เรียนรู้ฯแห่งนี้มีความโดดเด่นในการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณบ้านที่มีจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดสร้างรายได้จากอาชีพเสริมจนมาเป็นอาชีพหลัก โดยการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์กบนาการเลี้ยงไก่ฟ้าต่อยอดด้วยการเลี้ยงและขยายพันธุ์เป็ดสวยงามพร้อมทั้งผลักดันและสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงกบรวมถึงเลี้ยงเป็ดแมนดารินแบ่งปันขยายผลลูกกบนาให้แก่ชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียงสร้างแหล่งอาหารสร้างรายได้ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง


“เป็ดแมนดารินที่ต่อยอดจากการฝึกอบรมการเลี้ยงไก่ฟ้าจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วประสบความสำเร็จอย่างดีและถ่ายทอดให้แก่ชาวบ้านข้างเคียง ปัจจุบันตำบลป่าเมี่ยงได้เป็นแหล่งผลิตเป็ดแมนดารินส่งตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อไปเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงามมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน โดยเมื่อจับคู่กันแล้วก็จะครองคู่กันตลอดไป สื่อถึงความรักเดียวใจเดียว ปัจจุบันราคาขายคู่ละ 10,000 บาท  นับเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้แก่พี่น้องชาวบ้านได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากการเลี้ยงกบนา” นายสุจินต์ กล่าว

นายสุจินต์ ระบุว่าเป็ดแมนดารินเป็นนกขนาดกลางมีความยาวลำตัวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 48 เซนติเมตร ในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้จะมีสีฉูดฉาดหลายสีหน้าผากและหัวเป็นสีทองแดงสีม่วงและสีเขียวเหลือบเป็นมันเงา ขนปีกสีส้มขนาดใหญ่เป็นแผงข้างละเส้น และจะสวยงามมากขึ้นในฤดูผสมพันธุ์ ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดตัวย่อมลงมาและสีสันไม่ฉูดฉาดเท่าตัวผู้ ชอบอาศัยอยู่ตามหนองบึงและลำห้วยที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุม มักเกาะตามกิ่งไม้เป็นฝูงเล็กๆ กินพืชน้ำชนิดต่างๆ รวมถึงสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร การเพาะเลี้ยงไม่ยากสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยได้ดี




กำลังโหลดความคิดเห็น