เมืองไทย 360 องศา
บทบาทของ นายทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ถือว่า น่าจับตามอง ทั้งการเคลื่อนไหว การให้สัมภาษณ์ให้ความเห็นต่างๆ ถือว่าเรียกความสนใจอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ทั้งด้านกฎหมาย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เป็นการทำลายภาพลักษณ์ของรัฐบาล รวมไปถึงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “ลูกสาว” ตัวเอง คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นั่นแหละ เพราะบทบาทเท่าที่เห็นมันดูแล้วไม่ต่างการที่บ้านเมืองกำลังมี นายกรัฐมนตรีสองคน หรือมีผู้นำสองคน และยังมองว่า เขายังเป็นผู้ชี้นำนายกฯ ในทางนิตินัยเสียอีก
ล่าสุด การรับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรี มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนหมุนเวียนในปีหน้า และมีการเดินทางไปพบกันในที่ลับ ทั้งที่เกาะลังกาวี มาเลเซีย หรือที่เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ประเทศไทย ทุกอย่างดูหมิ่นเหม่ ชวนตั้งคำถามถึงความเหมาะสม และด้านกฎหมาย
ต่อมา นายทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวสะพัดขึ้นเรือยอชต์จาก จ.ภูเก็ต ไปเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เพื่อพูดคุยกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กลางทะเลช่วงแนวเขตประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา และกล่าวยอมรับเพียงสั้นๆ ว่า คุยกันแล้ว เรียบร้อยดี
ก่อนหน้านั้น มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 09.30-11.30 น. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และอดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางด้วยเรือยอชต์จากพื้นที่ จ.ภูเก็ต ไปขึ้นเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เพื่อรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมบูโล คาซ่า แกรนด์ วิว รีสอร์ต
โดยมีนายมุกตา บู่เอียด นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจเกาะหลีเป๊ะ ให้การต้อนรับ หลังจากนั้นจึงเดินทางไปขึ้นเรือออกเกาะหลีเป๊ะมุ่งหน้า จ.ภูเก็ต
มีรายงานด้วยว่า ก่อนนายทักษิณ จะขึ้นเกาะหลีเป๊ะนั้น ได้มีการนัดคุยกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรี ประเทศมาเลเซีย บนเรือยอชต์กลางทะเล ระหว่างแนวเขตประเทศไทย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนมาเลเซีย ว่า ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย แต่งตั้งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในตำแหน่งประธานอาเซียน ที่นายกฯมาเลเซีย จะเข้ารับตำแหน่งในปี 2568
หรือก่อนหน้านั้น ที่นายทักษิณ ชินวัตร ประกาศกร้าวว่า จะส่ง “กองกำลัง” ไปปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศกัมพูชา และในพม่า รวมไปถึงการเสนอเจรจาสันติภาพ ระหว่างรัฐบาลทหารพม่า กับกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการตั้งคำถามในทางลบว่า เขามีอำนาจอะไร ที่จะเข้าไปจัดการกับปัญหาพวกนี้ อีกทั้งคำว่า “ส่งกองกำลังไปจัดการ” นั้นหมายถึงอะไร เขามีกองกำลังส่วนตัวแล้ว หรืออย่างไร หากเป็นตำรวจ หรือทหาร มันก็จะเป็นไปได้อย่างไร ที่อดีตนักโทษคนหนึ่งที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง จะสามารถสั่งการเจ้าหน้าที่รัฐแบบนี้ได้
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเขายังมีแนวคิดและเสนอนโยบายหลายอย่าง เป็นการพูดออกสื่อสาธารณะ จนในที่สุดก็ออกมาเป็นนโยบาย ทั้งในการที่ นายกรัฐมนตรีนำมาแถลงนโยบายรัฐบาลในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นการพูดเรื่อง “ดิจิทัล วอลเล็ต” การมีแหล่งบันเทิงครบวงจร หรือ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ซึ่งเนื้อแท้คือ มีเป้าหมายเรื่องการ “เปิดบ่อนถูกกฎหมาย” อ้างว่าเป็นการนำธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน
ยังมีเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ เช่น การปรับโครงสร้างภาษี และการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา ร้อยละ 15 เพราะในเวลาต่อมา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็นำมาพูดต่อ เพียงแต่ว่าถูกเสียงวิจารณ์อย่างหนัก จนต้องเงียบเสียงไป
นี่ยังไม่นับการแสดงเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย ทั้งในเรื่องการบริหารจัดการภายในพรรค มีการเข้าร่วมประชุมเป็นระยะ รวมไปถึงการวางตัวรัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญ รวมถึงการกำหนดพรรคร่วมรัฐบาล ว่าจะมีพรรคไหนเข้าร่วมหรือถูก “เขี่ย” พ้นรัฐบาล ดังที่เกิดขึ้นกับกรณีของพรรคพลังประชารัฐ ในกลุ่มของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นต้น หรืออย่างที่ทราบกันดีก่อนหน้านี้ จากการเรียกบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปหารือกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเขาอ้างว่าชวนมา “กินมาม่า” นั่นแหละ
รวมไปถึง การเดินสายหาเสียงในระดับการเมืองท้องถิ่น การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในหลายจังหวัดทั่วประเทศเวลานี้ ซึ่งบทบาทก็ไม่ต่างจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างแท้จริง
หรือแนวคิดก่อนหน้านั้น เกี่ยวกับ “เอ็มโอยู 44” กับฝ่ายกัมพูชา ที่ต้องการแบ่งผลประโยชน์ด้านพลังงานแบบ “ห้าสิบ ห้าสิบ” ที่ถูกมองว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน เสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและเสียอธิปไตย ซึ่งกลายเป็นเรื่องอ่อนไหว โดยฝ่ายรัฐบาล และ นายทักษิณ ชินวัตร พยายามโบ้ยไปว่าเป็นการปลุกระดมจากพวก “คลั่งชาติ” ให้เกิดความเข้าใจผิด กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อะไรประมาณนั้น
แน่นอนว่าบทบาทของ นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้ถูกมองว่า“เกินเบอร์” ไปมาก ในลักษณะไม่ต่างจากการ “ล้ำเส้น” เกินไป เพราะเมื่อพิจารณาจากสถานะในปัจจุบันของเขาถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีหากมองอีกมุมหนึ่งการแสดงออกแบบนี้ มันก็เหมือนกับความมั่นใจว่า “อยู่เหนือ” คนอื่น เชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรได้ แต่ขณะเดียวกันคงไม่อาจประมาทได้เช่นกันว่ามันจะสร้างกระแส “ความมั่นไส้” มากขึ้นเรื่อยๆ
กลายเป็นการรวมสหบาทา รุมกระหน่ำเข้ามาในจุดเดียว เพราะสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้น มันหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมาย รวมไปถึงมีความเสี่ยงทั้งในเรื่องความมั่นคง การละเมิดอำนาจ และที่สำคัญมีปัญหาความระแวงในเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่ทุกเรื่องเป็นเรื่องอ่อนไหว ซึ่งเขาเคยมีบทเรียนมาแล้ว แต่ไม่เคยจำ !!