xs
xsm
sm
md
lg

พลัง 3 ป.(อาจ)ยังไม่มอด รอจังหวะฟื้นคืน !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เมืองไทย 360 องศา

หลายคนอาจนึกว่า เวลานี้หรือต่อเนื่องไปถึงอนาคตข้างหน้า หมดยุค “3 ป.” ไปแล้ว และยิ่งได้เห็นบทบาท ความเสื่อมถอยของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในบทบาทนักการเมือง ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่โดนเหยียดหยามจาก นายทักษิณ ชินวัตร แบบไม่ให้ราคา คิดว่าพวกเขาคงจบสิ้นแล้ว

มองเผินๆ แล้วอาจจะใช่ คงไม่มีใครกล้าเถียง เพราะเมื่อพิจารณากันตามรูปการณ์แล้ว คงเป็นแบบนั้น แต่หากเป็น “แค่เฉพาะตัว” คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อาจจะใช่อีก แต่หากรวมกันเป็น “3 ป.” แล้ว อย่าด่วนประมาทเป็นอันขาด เพราะหากพวกเขารวมกันแบบเดิม ใครก็มองข้ามไม่ได้

จากความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กับรายงานข่าวของ “เมเนเจอร์ออนไลน์” ที่พาดหัวว่า “บิ๊กป้อม” เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ รับอวยพรปีใหม่ ย้ำพระราชเสาวนีย์ “พระพันปีหลวง” ปกป้องป่าให้ลูกหลาน ด้านผบ.เหล่าทัพ ทยอยอวยพร “3 ป.”

มีรายงานว่า วันที่ 26 ธันวาคม 67 ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ให้คณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เข้าอวยพรเนื่องในเทศกาลวันปีใหม่ นำโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะกรรมการ

โดยพล.อ.ประวิตร กล่าวขอบคุณ พร้อมขอให้คณะกรรมการช่วยกันทำงานสานต่อพระราชเสาวนีย์ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการดูแลอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ให้มีความสมบูรณ์ เพื่อคงไว้ให้ลูกหลานในอนาคต

ในขณะเดียวกันมีรายงานว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ทยอยเดินทางมาอวยพรปีใหม่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ที่ผ่านมา

แน่นอนว่าต้องสะดุดกับรายงานความเคลื่อนไหวที่ว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพได้มาอวยพรปีใหม่ “3 ป.” เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ที่ผ่านมา

มองแบบฉาบฉวยไม่ต้องคิดมาก ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดแปลก แต่สำหรับการที่ “ผู้บัญชาการเหล่าทัพ” ตบเท้าเข้าอวยพรหรือขอพรปีใหม่ นี่สิถือว่าน่าสนใจ และสามารถอธิบายเหตุผลได้ในภาพเดียว กับการเข้ามาอวยพรดังกล่าว อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นว่า “3 ป.” ยังมีบารมี ทางเหล่าทัพยังให้ความเคารพนับถือ แต่ขณะเดียวกันยังสะท้อนให้เห็นภาพว่าทางกองทัพยังมี “เอกภาพ” กันอยู่

อย่างที่บอก ตั้งแต่ตอนต้นว่า หากมองกันแบบเดี่ยวๆ อาจจะไม่มีพลังพอ และที่ผ่านมาความ “เสื่อมถอย” ของพวกเขา ในช่วงที่ผ่านมาล้วนมาจาก “ความแตกแยก” หรือแยกกันเดิน ที่เห็นชัดก็คือ ระหว่าง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในนามพรรคพลังประชารัฐ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำให้พลังลดทอนลง ทำให้พ่ายแพ้การเลือกตั้ง จน “ไม่มีพลังอำนาจโดยตรง” ได้ในเวลานี้

อย่างไรก็ดี หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ผลักดัน “อุ๊งอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สำเร็จ แต่กลับไม่อาจสร้างผลงานได้น่าประทับใจ ถือว่า “ผิดความคาดหวัง” ไปมาก จนทำให้เริ่มเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ จนคาดกันว่าจะไม่อาจอยู่ครบเทอม ส่วนจะไปได้แค่ไหน จะเป็นภายในครึ่งปีหน้า ก็มีคนคาดการณ์กันเอาไว้ไม่น้อย เพราะสิ่งที่เจอแต่ละเรื่อง ล้วนหนักหนาสาหัส

โดยเฉพาะกับข้อร้องเรียน รวมไปถึงนโยบายบางอย่างที่เรียกเสียงวิจารณ์ในทางลบมากมาย เช่น “เงินดิจิทัล” ที่ไม่ตรงปก ถูกวิจารณ์เรื่องผลาญงบ สร้างหนี้สิน ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางกระตุ้นเศรษฐกิจ กรณี “เอ็มโอยู 44” ที่กำลังกลายเป็นของร้อน เป็นเรื่องอ่อนไหว ถูกต่อต้านกับการ “แบ่งผลประโยชน์” ระหว่างไทย กับกัมพูชา เพิ่มความไม่ไว้วางใจกับครอบครัวของ นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะ กับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่เบื้องหลังจนได้ฉายา “พ่อเลี้ยง” ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพได้ดี

นอกจากนี้ ยังมีอีกบางนโยบายที่ต้องผลักดันเข้ามา เนื่องจากเป็นความต้องการชี้นำมาจาก นายทักษิณ ชินวัตร โดยตรง นั่นคือ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือหากพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ “การมีบ่อนการพนัน” รวมอยู่ในนั้นด้วย โดยมีการขีดพื้นที่ในจังหวัดที่เป็นเขตเศรษฐกิจหลายพื้นที่ โดยมีการเล็งเอาไว้เบื้องต้นจำนวน 8 แห่ง โดยหนึ่งในนั้นอยู่ที่ ท่าเรือกรุงเทพ ที่คลองเตย เป็นทำเลทอง กำลังเดินหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าภายในปีหน้าจะได้เห็นรายละเอียดมากกว่านี้แน่นอน

นี่คือตัวอย่างในบางนโยบาย บางโครงการที่กำลังถูกจับตาและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก นี่ยังไม่นับถึงความล้มเหลวในการบริหารงาน ถูกติติงในเรื่องวุฒิภาวะของ นายกรัฐมนตรี น.ส.แพททองธาร ชินวัตร สร้างภาพลบให้กับตัวเอง รัฐบาล รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย จนทำให้ “พ่อนายกฯ” นั่งไม่ติดต้องออกโรงเองในทุกเรื่อง แต่กลายเป็นว่ากำลังสร้างศัตรูรอบทิศ ด้วยคำพูดที่คึกคะนองน่าจะเป็นการย้อนกลับมาทำร้ายรัฐบาลและตัวเขาเอง

เช่น ล่าสุดกรณีพูดจาใหญ่ทำนองว่า จะส่งคนไปจัดการกับพวก “คอลเซ็นเตอร์” ในพม่าและกัมพูชา ทำให้เกิดคำถามว่า “เขามีอำนาจอะไร” และมีหน้าที่อะไร เพราะด้วยสถานะคนเคยเป็นนักโทษ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งการเมืองได้ตลอดชีวิต ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ เสียงหมั่นไส้กันไปทั่ว

วกกลับมาที่ “3 ป.” หากโฟกัสไปที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าเวลานี้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ไม่เกี่ยวกับการเมืองแล้ว แต่ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า เขายังมี “แฟนคลับ” อย่างเหนียวแน่น ในโซเชียลฯ มีการพูดถึง “ลุงตู่” มากมาย ประมาณว่า “คิดถึงลุงตู่” และยิ่งเห็นภาพความถดถอยของรัฐบาล และการเคลื่อนไหวของครอบครัวชินวัตร เป็นการเปรียบเทียบยิ่งทำให้ภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ชัดเจนขึ้น

ขณะเดียวกัน หากสังเกตจากคำพูดเรื่อง “พรรคอีแอบ” ที่อาจถูก “เขี่ย” พ้นรัฐบาล ซึ่งเป้าหมายพุ่งไปที่ พรรครวมไทยสร้างชาติ มากกว่า ภูมิใจไทย เนื่องจาก “คุมพลังงาน” ที่มี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ขวางคลองอยู่หลายเรื่อง ซึ่งรวมไทยสร้างชาติ ก็มีภาพของ “ลุงตู่” ซ้อนทับอยู่

ดังนั้น แม้ว่านาทีนี้ยังไม่อาจสรุปชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงการฟื้นคืนชีพของ “3 ป.” หรือพลังของพวกเขา แต่รับรองว่าไม่อาจดูเบาเป็นอันขาด เพราะหากรวมกันเป็นแพกเดียวกัน ย่อมมองข้ามไม่ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าการอยู่ในอำนาจยาวนานนับสิบปี ย่อมต้องมีเครือข่ายไม่ธรรมดา โดยเฉพาะรากฐานในกองทัพ ที่คงโยกคลอนได้ไม่ง่ายนัก ที่สำคัญต้องมาเป็น “ 3 ป.” จะแยกกันเดินแบบเดิม ไม่ได้เพราะไม่มีพลังพอ และหากกลับมา ก็คงไม่มาในลักษณะเดิม นั่นคือ “ตัวแทน” แน่นอน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น