เมืองไทย 360 องศา
อาจเป็นเพราะมีแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกรุมเร้าเข้ามาทุกด้าน ทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องเร่งออกตัวแรงก่อนกำหนด แต่เป็นแบบที่เรียกว่า “ฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว เป็นการสร้างศัตรูไปรอบทิศ เพราะทั้งการให้สัมภาษณ์ และการเดินสายปราศรัยช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดของพรรคเพื่อไทยในหลายเวที เขาก็ใช้คำพูดรุนแรงพุ่งเป้าหมายไปที่ศัตรูเก่า และเพิ่มศัตรูใหม่ขึ้นมามากมาย ทำให้มองเห็นได้ว่าอีกไม่นานจะต้องเจอกับศึกรอบด้าน โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งหากพิจารณาจากสาเหตุที่ทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องออกอาการและอารมณ์แบบนี้ขึ้นมา หลายคนมองว่าเป็นเพราะเกิดจากแรงกดดันภายในที่กำลังเจออย่างหนักหน่วงอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าภาพภายนอกอาจมองว่าเขากำลังคุมทุกอย่างในมือได้อย่างเบ็ดเสร็จ เห็นได้จากฉายา “พ่อเลี้ยง” ที่สื่อความหมายในทางครอบงำสั่งการอยู่ข้างหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่เป็นลูกสาวของเขา
อย่างไรก็ดี แม้ว่าสามารถผลักดันลูกสาวขึ้นมาเป็นผู้นำได้สำเร็จ สร้างเกียรติประวัติให้กับครอบครัวแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริง กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพราะนับวันยิ่งเจอกับเสียงวิจารณ์หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบทพิสูจน์เรื่องความรู้ความสามารถดังจะเห็นได้จากฉายา “แพทองโพย” หรือ “นายกฯไอแพด” ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพได้ดี
เมื่อผลงานออกมาไม่ได้ตามเป้าหมาย มันก็ย่อมเกิดความเครียด กลายเป็นแรงกดดันตัวเอง ทำให้ตัวเองต้องออกโรงหนักขึ้น ต้องแก้ต่าง ต้องเสนอนโยบายแสดงความเห็นให้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันในเมื่อตัวเองเป็นบุคคลที่มี “ฐานะพิเศษ” มีข้อจำกัดทางกฎหมาย บางครั้งการออกมาแบบนี้มันก็ยิ่งสุ่มเสี่ยงทำให้ตัวลูกสาว และตัวเองมีความเสี่ยงตามไปด้วย และที่สำคัญการพูดที่สร้างอารมณ์เกรี้ยวกราดกลับสร้างศัตรูไปรอบทิศ มีทั้งศัตรูก่าและใหม่ประดังขึ้นมาเต็มไปหมด
ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร ได้ขึ้นเวทีปราศรัยตอนหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ ช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดของพรรคเพื่อไทย โดยอู้กำเมืองว่า ดีใจที่ได้กลับมาบ้านเกิด คราวที่แล้วผิดพลาดอะไรไม่รู้ แต่คราวนี้ไม่ผิดพลาดแล้ว มาครั้งนี้บังเอิญว่าลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี จึงใช้คำว่าเป็นคนที่ ส.ท.ร. โดยเฉพาะเรื่องบ้านเมืองมีปัญหา ประชาชนทุกข์ยาก ตนเสือกหมด ช่วงนี้มีดรามาเยอะทำให้พี่น้องหวั่นไหวจึงจะมาพูดให้ฟัง
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า วันนี้จึงจะมาเล่าเรื่องนี้ให้พี่น้องฟัง เพราะเสียงนกเสียงกาในกรุงเทพฯ ดูเหมือนรัฐบาลจะพังไปแล้ว อย่าไปเชื่อ อย่าไปสนใจหมอดู มันก็มีสองอย่างเป็นโหรโดยวิชา กลับไอ้ห้อยไอ้โหน ซึ่งบางทีก็เป็นไอ้ห้อยไอ้โหน เพื่อทำให้เกิดกระแสคนหวั่นไหวกันไป ดังนั้นพี่น้องฟังปากจากตน วันนี้ไม่มีปัญหาและรัฐบาลเดินไปตามระบบ มั่นใจที่จะแก้ปัญหาต่างๆ พรรคร่วมรัฐบาลมีหลายพรรค ซึ่งอาจจะทำงานช้าหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าทำงานไม่ได้เลย เพราะต้องทำความเข้าใจ เมื่อคุยกันแล้วก็จบ
“ฉะนั้น ไม่ต้องไปฟังเรื่องยุบสภา ฝันลมๆ แล้งๆ ว่ายุบสภาไม่มีหรอก รอบนี้หนึ่งเสียงก็กระเด็นไม่ได้ เพราะหากจะไม่ใช้คนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข จะไปใช้ใครทำงาน รู้จักใช้ใครก็ไม่รู้ที่เอาแต่พ่น พ่น พ่น ซึ่งก็พ่นเก่ง เดี๋ยวนี้ก็ทั้งพ่นและด่าเก่ง ตั้งแต่ผมมาปราศรัยสองวันนี้ผมโดนด่าทุกวัน และโดนด่าย้อนหลังด้วย แต่ผมก็มีความสุขขนาดกับการโดนด่า” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า วันนี้ตนต้องการแขนขาซึ่งคือท้องถิ่น ซึ่งเมื่อก่อนมั่นใจได้มากหน่อยเพราะรัฐบาลมีสส.เยอะ มีกระทรวงดูแลเยอะ เราจึงสั่งการได้เยอะ แต่ทุกวันนี้เรามี สส.แค่ 141 คน มีกระทรวงดูแลอยู่น้อย ไม่พอ ซึ่งไม่พอก็ต้องมีตัวแทนท้องถิ่น
“วันนี้เรารำวงมาเยอะแล้ว ถึงเวลาต้องชกได้แล้ว นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนายกฯ ได้แค่สามเดือนก็โดนด่าทุกวัน ส่วนใหญ่ก็เป็นขาประจำ ด่าได้ด่าไป แต่อย่าแหลมมาแล้วกัน เราเอาจริงบ้างแล้ว อายุ 75 ปี เหมือนคนเบญจเพส เป็นเบญจเพสทางอ้อม อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นคนเฒ่า บางครั้งก็แข็งแรงเหมือนคนเบญจเพสเหมือนกัน แต่ก็ใจเย็นเหมือนคนอายุ 75 ปี ฉะนั้น ระวังให้ดี มีคนบอกว่าผมขู่ แต่จริงๆ ผมไม่ได้ขู่ จะเอาจริง ซึ่งก็เอานะ“ นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า คนที่ด่าตน อย่าคิดว่าตนจะตายง่าย มีปัญญาด่าก็ด่าไป อยู่ไปอีก 40 ปี เว้นแต่เขาจะตายก่อน เขาด่าตนโดนเรื่อยๆ ถ้าเขาตายก่อน ตนก็จะส่งพวงหรีดให้เขาซักอัน และก็จะประหยัดพวงหรีดไปหนึ่งอัน ทั้งนี้ ตนยินดีคุยกับทุกคน แม้กระทั่งคนที่ด่าตนทุกวัน ตนเป็นคนใจเย็นแต่ถ้าเค้าเล่นมาตนก็เล่นกลับ
แน่นอนว่าคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ถือว่าดุเดือดรุนแรง เป็นการเปิดศึกแบบตาต่อตาฟันต่อฟันกันเลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่บอกว่าว่าล้วนออกมาจากอารมณ์โกรธ มีแรงกดดันจากภายใน เพราะเวลานี้ทุกอย่างรุมเร้าเข้ามา และทุกอย่างล้วนมาจากตัวเองที่ก่อขึ้นมาแทบทั้งสิ้น
ไล่เรียงมาจากกรณี “ชั้น 14” ที่กำลังมีบทสรุป ทั้งจากการสอบสวนของแพทยสภา และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพราะเชื่อว่างานนี้ไม่ใครก็ใครต้องมีคนติดคุกและมีคนต้อง “กลับเข้าคุก กันอีกรอบในปีหน้าค่อนข้างแน่ กรณีเอ็มโอยู 44 กับกัมพูชา ที่กำลังเป็นเรื่องอ่อนไหวเสี่ยงต่อการเสียดินแดนและผลประโยชน์ของชาติจะเป็นการเรียกแขกให้ “ลงถนน” อีกรอบ
และอีกเรื่องสำคัญก็คือปัญหา “ปากท้อง” ที่ส่วนสำคัญมาจากความล้มเหลวของตัวนายกรัฐมนตรี และจะว่าไปก็ล้วนมาจาก นายทักษิณ ชินวัตร เองนั่นแหละ เพราะเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มทั้งในและต่างประเทศแล้วมันไม่เป็นใจเอาเสียเลย ตรงกันข้ามในปีหน้ามองจากการคาดการณ์แล้วน่าจะออกมาหนักหน่วงกว่าเสียอีก โดยเฉพาะต้องเจอกับการกีดกันทางการค้า ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลหลายอย่างที่ “ไม่ตรงปก” ทำไม่ได้ตามที่พูดเอาไว้ ทุกอย่างกำลังย้อนกลับมา
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งจากแรงกดดันดังกล่าวทำให้เกิดความเครียดที่เขาต้องเจอ ยิ่งทำให้ต้องออกแรงเกี้ยวกราดสร้างศัตรูรอบทิศ ทั้งที่เขาบอกว่าเป็น “ขาประจำ” ดั้งเดิม ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแนวทางเดิม กับพวก “ศัตรูหน้าใหม่” ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนเคยเป็น “ลูกน้องเก่า” รับใช้เขามาทั้งสิ้น ซึ่งกลุ่มหลังนี่แหละที่น่ากลัวไม่เบา เพราะรู้ไส้รู้พุงกันมาอย่างดี และเชื่อว่าพวกนี้แหละที่ นายทักษิณ มีความหวาดกลัว
ดังนั้นหากบอกว่า พฤติกรรม และท่าทีของ นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้กำลังหมุนกลับมาที่เดิมเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ที่เมื่อมีอำนาจก็จะเหลิง คิดว่าไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป เพราะศัตรูกำลังเพิ่มขึ้น ขณะที่บุญเก่าเริ่มใช้ไม่ได้ผล กำลังเสื่อมถอย ทำให้เห็นแนวโน้มว่าเที่ยวนี้มีความเสี่ยงคุกอีกรอบ และอาจพังกันทั้งยวงเลยทีเดียว !!