xs
xsm
sm
md
lg

“หม่อมกร” จี้นายกฯ ใช้อำนาจประธาน กพช.ปฏิรูปการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หม่อมกร” จี้นายกฯ เลิกเกรงใจนายทุน ควรใช้อำนาจในฐานะประธาน กพช.ปฏิรูปการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้า ระบุซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ไม่มีการประมูลจริง แต่กำหนดราคารับซื้อตายตัวล่วงหน้า ทั้งที่ต้นทุนถูกลง ทำให้ค่าไฟแพงกว่าความเป็นจริง ถามจะยืนข้างกลุ่มทุน หรือยืนข้างประชาชน

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ที่ปรึกษาศูนย์นโยบายและวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “คุยกับหม่อมกร” ในหัวข้อ “พลังงานถูกเป็นข้ออ้าง พลังงานแพง คือ เป้าหมาย???” มีรายละเอียดระบุว่า ประเทศไทยมีปัญหาราคาพลังงานแพง ทั้งน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม และไฟฟ้า ล้วนมีอัตราที่สูงกว่าอาเซียน แต่ที่เห็นว่าไม่สูงจนน่าตกใจ เพราะกลุ่มทุนมีความฉลาดล้ำในการซ่อนราคาแพง เช่น ราคาน้ำมันก็ให้กองทุนน้ำมันแบกไว้ให้เป็นภาระลูกหลานในอนาคต ส่วนไฟฟ้าก็ให้ กฟผ.ซื้อไฟแพงจากเอกชนมาขายในราคาต่ำ โดย กฟผ.ต้องแบกหนี้การซื้อไฟกว่าแสนล้านบาทแล้ว

ปัญหาเกิดจากไม่มีการประมูลราคาพลังงาน แต่เป็นการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการชุดหนึ่งๆ ใช้คะแนนทางเทคนิคเป็นตัวตัดสิน ยกตัวอย่างเช่น การประมูลการผลิตปิโตรเลียม แทนที่จะใช้หลักการว่า ผู้ที่ให้ผลตอบแทนรัฐสูงสุดได้เป็นผู้ชนะ ซึ่งเป็นหลักปกติที่อาเซียนใช้กัน แต่ไทยจะกำหนดอัตราที่รัฐได้ตายตัว เป็นการจำกัดรายได้ของรัฐโดยปริยายโดยคัดเลือกจากคะแนนทางเทคนิคเท่านั้น

ปัญหานี้ก็ยังลามไปถึงการประมูลไฟฟ้าหมุนเวียนตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed -in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 เฟส 2 ก็เช่นกัน ไม่เคยมีการประมูลจริง เพราะรัฐเป็นผู้กำหนดราคารับซื้อจากเอกชนตายตัว โดยราคานี้ถูกกำหนดขึ้นเมื่อกว่า 2 ปีครึ่งมาแล้ว ทั้งที่ ปัจจุบันเทคโลยีดีขึ้นอุปกรณ์ราคาถูกลง การใช้ราคาเดิมย่อมทำให้คนไทยจ่ายค่าไฟแพงโดยเจตนา

การคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าใช้วิธีให้คะแนนทางเทคนิค น้ำหนักจึงขึ้นกับดุลยพินิจของผู้คัดเลือกเป็นสำคัญ ขาดความโปร่งใส และอาจเกิดการทุจริตได้ง่าย เอกชนที่มีความสามารถผลิตไฟได้ต้นทุนต่ำ ก็ไม่สามารถขายไฟราคาถูกให้ กฟผ.ได้ โดยผลการคัดเลือกบ่งชี้ว่า มีผู้ผลิตรายใหญ่เพียงไม่กี่รายได้โควตาไปจำนวนมาก ที่สำคัญคือพลังงานหมุนเวียนประเภทประเภทโซลาร์เซลล์นั้น รัฐควรสงวนโควต้าให้ประชาชนทั่วไปสามารถติดบนหลังคาได้มากขึ้น เป็นการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ที่ผ่านมาโซล่ารูฟท๊อปกลับได้รับโควต้าน้อยมาก มีข้ออ้างมากมายที่ไม่อยากรับซื้อไฟฟ้าจากประชาชน แต่กลับไปสนับสนุนนายทุนรายใหญ่ที่ผลิตไฟขายให้รัฐแพงกว่าที่ประมูลกันทั่วโลกตามรายงานของ International Renewable Energy Agency ราว 25-30%

กรณีที่มีข่าวจากสภาผู้บริโภค และฝ่ายค้าน ขอให้นายกฯ ยกเลิกรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 2,145 เมกะวัตต์ ที่เป็นการเอื้อทุนพลังงานนั้นมีเหตุผล และมีหลักการที่รับฟังได้ นายกฯ จึงควรรับฟัง และควรปฏิรูปการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าเสียใหม่ เพราะมีข้อบกพร่องในเรื่องความโปร่งใส และไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน


ผมจึงใคร่มีข้อเสนอแนะท่านนายกฯ ว่า

1) นายกฯ ต้องไม่เกรงใจกลุ่มทุนพลังงาน ตามคำแถลงผลงานว่า จะต่อสู้กับทุนผูกขาด ทุนพลังงาน คือ ทุนผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

2) นายกฯ ต้องใช้อำนาจประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการกวดขันทางนโยบายต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยเที่ยงธรรมไม่ลำเอียง

การที่ สำนักงาน กกพ.ได้ลงนามประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือกไป เมื่อวันที่่ 16 ธันวาคม 2567 ท่ามกลางข้อสงสัยถึงความโปร่งใส ย่อมแสดงถึงความไม่สนใจของ กกพ.ว่า คนไทยจะต้องรับภาระจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่ควร เพราะราคาที่รับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเป็นราคาเทคโนโลยีปี 2565 ที่มีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบัน ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า กกพ. ปฏิบัติหน้าที่เต็มความสามารถหรือไม่ มีความเป็นกลางหรือไม่ เหตุใดจึงไม่เปิดประมูลโดยใช้ราคาเป็นตัวตัดสิน ใครผลิตไฟฟ้าราคาถูกที่สุดเป็นผู้ชนะ เช่นเดียวกับนานาอารยะประเทศ?

อนาคตราคาพลังงานไทยจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นกับนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว เพราะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่า ท่านจะยืนข้างกลุ่มทุน หรือยืนเคียงข้างประชาชน?


กำลังโหลดความคิดเห็น