ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จุดเปลี่ยนคืนความเป็นธรรมให้ “แตงโม” มาถึง!? “ทวี” ชี้รื้อคดีใหม่ได้
คดี “น้องแตงโม” ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงสาวกลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง หลังจาก “พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์” อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้ข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนกับ “ยิปมัน” อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตามด้วยความเคลื่อนไหวของ โคนัน “ลุงอัจ” อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม ยื่นหลักฐานใหม่ต่อ อัยการภาค 1 และ กระทรวงยุติธรรม ไปจนถึงร้องต่อ กมธ.การกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนฯ ขอให้รื้อคดีใหม่ มั่นใจว่า “ไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ”
ฟังจากปากของ “ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ล่าสุดชี้ว่า ถ้าคดีมีพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงใหม่ ก็สามารถรื้อคดีได้ แม้อัยการจะสั่งฟ้องคดีไปแล้วก็ตาม หรือแม้แต่ศาลมีคำตัดสินแล้ว ก็สามารถรื้อฟื้นคดีได้
ประเด็นอยู่ที่พยานหลักฐาน งานนี้“ลุงอัจ” ที่ช่วงนี้เดินสายเข้าหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบอกว่า ตอนนี้มีเวลาเหลืออีกประมาณ 2 เดือน จนกว่าศาลจังหวัดนนทบุรี จะมีคำพิพากษา ตามกฎหมาย ซึ่งอัยการสูงสุดมีอำนาจเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรื้อฟื้นคดีนี้ และตัวเองก็มีพยานหลักฐานใหม่ที่เคยยื่นพิสูจน์ความจริง ที่ศาลอาญามาแล้ว เป็นภาพบาดแผลที่เกิดขึ้นบนตัว “แตงโม” ขณะนำร่างขึ้นมาจากน้ำ โดยเฉพาะบาดแผลบริเวณต้นขาด้านขวา ซึ่งมีคำพิพากษาศาลออกมาแล้วว่า ถูกกรีดเป็นแนวยาว ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ ส่วนบาดแผลจุดอื่นบนร่างกาย เชื่อว่าน่าจะมีการสร้างขึ้นมาภายหลัง
...“น้องแตงโม” เสียชีวิต เพราะเหตุใด อาจจะจมน้ำ ผมไม่ได้เถียง แต่การจมน้ำ โดยการตกเรือ หรือถ่วงน้ำ หรือการจับโยนน้ำ หรือมีผู้ทําให้ตาย อันนี้มันต้องมาพิสูจน์ในกระบวนการที่ทําจริงๆ ไม่ใช่อ้างว่าเพียงแค่คำให้การของ “คนบนเรือ”
“ลุงอัจ” มั่นใจว่า ได้ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมให้อัยการสูงสุด อธิบดีอัยการภาค 1 และอัยการจังหวัดนนทบุรี ครบถ้วนแล้ว เชื่อว่า น่าจะได้รับความร่วมมือ เพื่อให้มีการรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่
งานนี้ก็ต้องชื่นชม “ลุงอัจ” ที่สู้ไม่ถอย ต่อสู้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา พยายามไปพบ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” อดีตผบ.ตร.ในขณะนั้น ซึ่งได้มอบมหายให้ “พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์” ผู้บังคับการสืบสวนนครบาล นำหลักฐานที่มีไปพบกับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ และยังถูกผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับ “คดีแตงโม” เมื่อปฏิเสธจึงถูกแจ้งข้อหา 9 คดี ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานและหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จนกระทั่งคดีแรกศาลอาญามีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 31 ต.ค.67 ที่ผ่านมา
“พ.อ.นพ.ธวัชชัย” ก็เป็นอีกคนที่สังคมต้องยอมรับ เพราะเห็นถึงพิรุธ และความไม่เป็นไปตามหลักของทางการแพทย์ ซึ่งอาจารย์ปานเทพ หรือ “ยิปมัน” เคยโพสต์ถึง ศัลยแพทย์ผู้นี้เอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า พ.อ.นพ.ธวัชชัย มาให้ความรู้และชี้แจงแสดงหลักฐานที่ทำให้เห็นว่า “น้องแตงโม”ไม่ได้เสียชีวิตด้วยการไปปัสสาวะ แล้วตกน้ำที่ท้ายเรือ และได้บรรยายทำให้เกิดความชัดเจนว่า 1. บาดแผลบนต้นขาขวาเกิดขึ้น “บนบก” ไม่ใช่ในน้ำ 2. ลักษณะบาดแผลเหมือนเป็นรอยมีด ไม่ใช่ใบพัดเรือ 3. มีเรือสกู๊ตเตอร์ 4 ลำ พาเรือไปยังอีกจุดหนึ่ง ที่มีเรือลำที่ 2 อยู่บริเวณเดียวกัน และ 4. พบพิรุธและเงื่อนงำในการสืบสวนและสอบสวนมากมาย
งานนี้ต้องจับตาจุดเปลี่ยนให้ดีๆ หากมีการรื้อคดีใหม่ ก็จะทำให้ความจริงปรากฏ คืนความเป็นธรรมให้น้องแตงโมจริงๆเสียที
++ ภูมิใจไทยไม่เป็น “อีแอบ” แต่โหวตสวนให้เห็นกันจะจะไปเลย!
รอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล เปิดออกมาให้เห็นอีกครั้ง ในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่ง ที่ต้องใช้ในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ก่อนหน้านี้ ร่างกฎหมายดังกล่าว ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนฯ ไปแล้ว โดยเนื้อหาสาระสำคัญ ให้ใช้เกณฑ์ประชามติด้วย “เสียงข้างมากชั้นเดียว” คือยึดเอาแค่เสียงข้างมากของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ ก็ใช้ได้
แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา กลับถูกแก้ให้เป็น “เสียงข้างมากสองชั้น” คือ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่ง ของผู้มีสิทธิ์ใช้เสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียง ในเรื่องที่จัดทำประชามติ
เมื่อความเห็นของสองสภาต่างกัน จึงต้องตั้งกรรมาธิการร่วมสองสภา เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งในที่สุด คณะกรรมาธิการร่วมฯ มีมติเห็นชอบตาม ร่างแก้ไขของวุฒิสภา คือ ให้ใช้เกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้น
จากนั้น เมื่อเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่17 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมวุฒิสภาก็มีมติเห็นด้วยกับกรรมาธิการร่วมฯ 153 ต่อ 24 เสียง งดออกเสียง 13
วันรุ่งขึ้น 18 ธ.ค. ถึงคราวที่สภาผู้แทนฯ ต้องลงมติบ้าง แน่นอนว่า วิปรัฐบาลต้องให้โหวต ไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการร่วม เพื่อยืนยันในเกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียว
แต่มีการคาดหมายกันว่า “พรรคภูมิใจไทย” ที่มีความผูกพัน ผูกโยงกับวุฒิสภา อาจ “งดออกเสียง”
ในช่วงอภิปรายก่อนลงมติ ชัดเจนว่า สส.จากพรรคเพื่อไทย อภิปรายหนุน “เสียงข้างมากชั้นเดียว” อย่างเช่น “อดิศร เพียงเกษ” สส.บัญชีรายชื่อ ถึงกับออกปากตำหนิพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ว่าเป็นตัวถ่วงประชาธิปไตย ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ตอนแถลงนโยบาย บอกว่าจะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญ ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด เมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วจะลงเรือลำเดียวกันต่อไปได้อย่างไร
ขณะที่ สส.พรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะ “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรค ลุกขึ้นมาอภิปราย สนับสนุนแบบ “เสียงข้างมากสองชั้น” อย่างชัดเจน
เมื่อถึงเวลาโหวต ผลปรากฏออกมาว่า มีผู้เห็นชอบตามร่างของกรรมาธิการร่วม 61 เสียง ไม่เห็นชอบ 327 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง
นั่นหมายความว่า ถ้าทางสภาผู้แทนฯ ต้องการยืนยันให้ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว ก็ต้องรอไปอีก 180 วัน หรือ 6 เดือน จึงจะใช้กฎหมายนี้ได้
ที่เป็นประเด็นคือ เมื่อมองไปถึงรายละเอียดในการโหวตครั้งนี้ พบว่า 61 เสียงที่เห็นชอบนั้น เป็นของ สส.พรรคภูมิใจไทยเป็นหลัก ซึ่งผิดคาดไปจากเดิมที่คิดว่า คงจะรักษามารยาทในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยการ “งดออกเสียง” แต่ปรากฏว่า ไม่ใช่
และใน 61 เสียงนี้ มีของพรรคไทยสร้างไทย ที่เป็นฝ่ายค้าน รวมอยู่ด้วย 2 คนคือ “หรั่ง ธุระผล” สส.อุดรธานี และ “อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์” สส.อุดรธานี
นอกจากนี้ ยังพบว่า สส.ฝ่ายรัฐบาล “โดดร่ม” ไม่มาร่วมโหวตจำนวนมาก เช่น พรรคเพื่อไทย 9 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 25 คน , กลุ่ม 20 สส. ที่เพิ่งย้ายเข้าพรรคกล้าธรรม, พรรคประชาธิปัตย์ 13 คน , พรรคภูมิใจไทย 9 คน , พรรคชาติไทยพัฒนา 6 คน , พรรคประชาชาติ 4 คน, พรรคไทรวมพลัง 2 คน
ส่วนพรรคประชาชน ไม่แตกแถว มีเพียง 2 คน ไม่ได้ร่วมลงมติ คือ “รัชต์พงศ์ สร้อยสุวรรณ” สส.ตาก และ “รศ.สุรวาท ทองบุ” สส.บัญชีรายชื่อ
เห็นพฤติกรรมการโหวตครั้งนี้ แล้วทำให้นึกถึงคำพูดของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่พูดถึง “พรรคอีแอบ” ที่ชิ่งหนีการประชุมครม. ในการพิจารณาเรื่องภาษี ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าผู้พูด หมายถึงพรรคใด แต่มีอยู่ 3 พรรคที่อยู่ในข่ายคือ “ภูมิใจไทย -รวมไทยสร้างชาติ–ประชาธิปัตย์”
“ภูมิใจไทย” ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นั้น ครั้งนี้โหวตสวนให้เห็นกันจะจะไปเลย ไม่มีแอบ
ส่วน รวมไทยสร้างชาติ “เอกนัฏ” พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรค ออกมาชี้แจงว่า 25 สส. ที่ไม่มาร่วมประชุมนั้น ไม่ได้โดดร่ม แต่ต้องลงพื้นที่ไปช่วยเหลือประชาชนที่ถูกน้ำท่วมในภาคใต้
ขณะที่ “นายกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร แม้จะไม่พอใจอย่างแรง แต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้ม บอกว่าไม่ห่วง ไม่จำเป็นต้องคุยกับพรรคภูมิใจไทย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องบริหารงานร่วมกันอยู่แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาฯ เรื่องของวิปรัฐบาลที่จะต้องไปพูดคุยกัน
อันที่จริง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย” ขบเหลี่ยมกันมาตลอด มีการพูดจากระทบกระทั่งแบบไม่ระบุตัว ระหว่าง “ทักษิณ ชินวัตร” กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ผ่านสื่ออยู่บ่อยๆ นั่นคงเป็นเพราะ ต่างฝ่ายต่างคิดว่า อีกฝั่งจ้องจะทำลายตัวเอง และ เป็นคู่แข่งในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า
ตอนนี้ ฝ่ายค้าน ก็จองกฐิน เตรียมเปิดศึกซักฟอกแล้ว เรื่องรอยร้าวในพรรคร่วม คงไม่เลยเถิดไปถึงกับยอมเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายค้านคว่ำรัฐนาวา แต่ถ้าให้ข้อมูลเอาไปทิ่มแทงกัน อันนั้นไม่แน่ !!