xs
xsm
sm
md
lg

แพทยสภาจุดตาย เทวดาชั้น 14 !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - นพ.อมร ลีลารัศมี
เมืองไทย 360 องศา

เรียกว่า “ใกล้หายนะ” เข้าไปทุกทีสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร กับพวก กับกรณี “ป่วยทิพย์” บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพราะล่าสุดทางแพทยสภาได้เรียกหลักฐานเอกสารการรักษา และสอบจรรยาแพทย์ที่รักษา นายทักษิณ ในช่วงเวลา 180 วัน ที่รักษาอาการอยู่ที่นั่น หลังจากก่อนหน้านั้นทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้เรียกสอบสวน 12 ข้าราชการที่เกี่ยวข้องทั้งสามหน่วยงานไปแล้ว เช่น เจ้าหน้าที่จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กรมราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาล

มีรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมา นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภาในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ ที่ตั้งโดยมติที่ประชุมแพทยสภาฯ ได้ทำหนังสือของแพทยสภา ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึง แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมสามหน้ากระดาษ มีใจความโดยสรุปว่า ให้แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริงและส่งพยานหลักฐานหรือวัตถุพยานเพื่อประโยชน์การแก่การพิจารณาจริยธรรม ดังนี้

1. คำชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับการรักษาพยาบาล ของผู้ป่วยชาย นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดโดยละเอียด

2.ขอทราบ ชื่อ สกุลแพทย์ทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตร รวมถึงเลขใบประกอบวิชาชีพ รวมถึงคำชี้แจงของบุคคลในข้อ 2 เกี่ยวกับกระบวนการตรวจ การวินิจฉัย การดูแลรักษาในรายผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตรโดยละเอียด

ที่น่าสนใจก็คือ หนังสือดังกล่าวยังระบุอีกว่า เนื่องจาก นายทักษิณ เป็นผู้ต้องขังที่ส่งตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่าสามสิบวัน และหกสิบวัน -หกสิบวันและหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ตามลำดับ ตามที่กำหนดในข้อ 7 ของกฎกระทรวง (กระทรวงยุติธรรม) การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ที่กำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำ มีหนังสือขอความเห็นจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวง(ยุติธรรม)และรัฐมนตรีว่าการกระรทวงยุติธรรม ทราบ (ตามลำดับ)

ดังนั้น จึงขอความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ที่ก็คือ การขอความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตอนที่แพทย์ทำรายงานสามครั้ง คือถึง อธิบดีกรมราชทัณฑ์-ปลัดกระทรวงยุติธรรมและรมว.ยุติธรรม ในช่วงครบ 30 วัน 60 วันและ 120 วันตามลำดับ โดยให้ส่งรวมมาให้อนุกรรมการฯทั้งหมด

นอกจากนี้ อนุกรรมการสอบสวน ของแพทยสภา ยังขอให้ส่งสำเนาใบส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาต่อ สำเนาเวชระเบียน สำนาบันทึกการผ่าตัด สำเนาบันทึกการให้ยาระงับความรู้สึก สำเนาบันทึกการพยาบาล สำเนารายงานทางการแพทย์ และเอกสาร หรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล เช่นภาพถ่ายทางรังสีวินิจฉัย ผลการตรวจทางรังสี ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือเอกสารใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร โดยให้ระบุหมายเลขหน้าเอกสาร และให้เจ้าหน้าที่ลงนามรับรองเอกสารทุกหน้าด้วย

“ขอตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่ผู้ป่วยถูกส่งต่อการรักษาไปที่ รพ.ตำรวจ จนกระทั่งผู้ป่วยถูกจำหน่ายออกจาก รพ. ตำรวจ ซึ่งถือว่าเกี่ยวข้องกับการพิจารณาจริยธรรมในครั้งนี้ โดยขอให้ท่านทำคำชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานที่สนับสนุนคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ตามประเด็นข้างต้น โดยให้ส่งมาให้คณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจภายใน วันที่ 15 มกราคม 2568” เอกสารสำคัญของแพทยสภาดังกล่าวระบุ

ได้เห็นหนังสือดังกล่าวของแพทยสภา ที่มีไปถึงแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ก็ต้องบอกว่า “หน้ามืด” กันเลยทีเดียว สำหรับบรรดาแพทย์ทั้งหลายที่รักษาอาการ นายทักษิณ ชินวัตร เพราะเป็นการให้รายงานการตรวจรักษาอย่างละเอียดและทุกขั้นตอน รวมไปถึงรายชื่อของแพทย์ ที่รักษาทุกคน พร้อมทั้งขีดเส้นให้ชี้แจงภายในวันที่ 15 มกราคม ปีหน้า ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่นานนัก

เพราะนี่คือการเรียกขอเอกสาร หลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย เพราะเป็นหน่วยงานที่บังคับด้านมาตรฐานจริยธรรมโดยตรง จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ผ่านมาการตรวจสอบของหน่วยงานอื่นไม่ว่าจะเป็น กรรมาธิการคณะต่างๆ ของสภา ไม่สามารถดำเนินการได้ เจอการบ่ายเบี่ยงต่างๆ นานา อ้างเป็นความลับของคนไข้เปิดเผยไม่ได้ แต่สำหรับ “แพทยสภา” แล้วถือว่าเป็น “ผู้คุ้มกฎ” ตัวจริง และยังมีผลต่ออนาคตต่อวิชาชีพแพทย์ในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นถือว่างานนี้ ถึงขั้นขนหัวลุกทีเดียว

ขณะเดียวกัน หากมองในมุมของแพทย์ที่ให้การรักษา นายทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องบอกว่าพลาดไม่ได้เลย และการให้การต้องสอดคล้องไปทางเดียวกัน หากใครออกนอกลู่นอกทาง ก็จะเสี่ยงพากันลงเหวทั้งหมด แต่ก็อย่างว่า หากมีการกระทำผิด มันก็ย่อมต้อง “ทิ้งร่องรอย” เอาไว้จนได้ และที่สำคัญฝ่ายตรวจสอบเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ระดับอาจารย์ทั้งนั้น ย่อมจับทางได้อยู่แล้ว หากมีพิรุธอะไรขึ้นมา

อีกทั้งเมื่อฟังจากคำพูดของ นพ.อมร ลีลารัศมี ประธานอนุกรรมการ ที่ตรวจสอบเรื่องนี้ ก็ไม่ธรรมดา เรียกว่ามีเกียรติยศสูงสุดมาแล้ว และยังเคยเป็นถึงนายกแพทยสมาคม และกรรมการแพทยสภามาก่อน ที่สถาบันควบคุมดูแลด้านวิชาชีพการแพทย์และสาธารณสุข ยิ่งหายห่วง

หากให้สรุปนาทีนี้ก็ต้องบอกว่า การสอบของแพทยสภาคราวนี้ อีกทางหนึ่งมันก็เหมือน “เบิกทาง” ไปสู่หายนะอีกชั้นหนึ่ง นั่นคือ หากผลออกมาในทางลบ แน่นอนว่านอกจากจะต้องกระทบกับบรรดาแพทย์ทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง แต่นั่นย่อมหมายถึง “หายนะ” ที่ส่งตรงไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย และจะนำไปสู่สเตปต่อไป สำหรับการเอาผิดตามมาอีกหลายเรื่อง เพราะหลักฐานของแพทยสภา ย่อมต้องส่งถึงมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่รอไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งต้องรอหลักฐานชิ้นนี้ด้วยอยู่แล้ว เรียกว่าลุกลามบานปลายไปไกลทีเดียว

ดังนั้น งานนี้ถึงได้บอกว่า เมื่อองค์กรทางการแพทย์อย่าง “แพทยสภา” ขยับอย่างชัดเจนแบบนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานก็ต้องรู้ความจริงว่ามีใครเสี่ยงติดคุก ต้องสูญเสียวิชาชีพบ้าง อีกทั้งหากผลสอบออกมาเป็นลบ มันก็จะกลายเป็นการ “ตั้งต้น” สำหรับการเอาผิด นายทักษิณ ชินวัตร จะกระทบเป็นลูกโซ่ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะไม่เรียกว่า “เสี่ยงหายนะ” มันก็คงไม่เกินจริง !!


กำลังโหลดความคิดเห็น