เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าเป็นสัญญาณไม่ดีเอาเสียเลยกับ รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนหลัก กับผลสำรวจหรือ “โพล” ที่สำรวจผลงานในรอบสามเดือน ที่สะท้อนออกมาให้เห็นว่า ชาวบ้านรู้สึกผิดหวัง และไม่เชื่อมั่น ขณะที่สิ่งที่บอกว่าเป็นผลงานกลับกลายเป็นเรื่องการ “แจกเงิน”
เมื่อวันก่อน “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “3 เดือนรัฐบาลแพทองธาร” พบว่า กลุ่มตัวอย่างมองจุดแข็งของรัฐบาลแพทองธาร คือ การมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ ร้อยละ 49.38 ภาพรวมผลงาน 3 เดือนของรัฐบาล ยังประเมินไม่ได้ ร้อยละ 39.85 ต่ำกว่าที่คาดหวัง ร้อยละ 28.14 และยังไม่เชื่อมั่นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ร้อยละ 54.99
โดยมองว่านโยบายที่เห็นผลชัดเจนที่สุดใน 3 เดือนที่ผ่านมา คือ การแจกเงิน 10,000 บาท ร้อยละ 71.44 เรื่องที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไขโดยด่วนยังคงเป็นเรื่องการแก้ปัญหาค่าครองชีพ สร้างงาน เพิ่มรายได้ ร้อยละ 70.84 สุดท้ายสิ่งที่ประชาชนอยากฝากถึงนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ในฐานะผู้นำประเทศ คือ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ร้อยละ 49.14
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากผลโพลสะท้อนให้เห็นว่า ผลงาน 3 เดือนรัฐบาลแพทองธารยังประเมินไม่ได้ และบางส่วนมองว่าต่ำกว่าที่คาดหวังไว้ แม้นโยบายระยะสั้นจะสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนได้ระดับหนึ่ง แต่ในฐานะที่รัฐบาลมีที่ปรึกษามากประสบการณ์และขึ้นชื่อเรื่องการทำให้ “คนไทยมีกิน มีใช้” ประชาชนจึงคาดหวังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ “สื่อสารเป็น-เห็นผลชัด-จับต้องได้” ให้มากขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจพร พึงไชย ผู้ช่วยคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่าภายใต้รัฐบาลแพทองธารผ่านมาสามเดือน เสมือนช่วงทดลองงานสำหรับรัฐบาลไม้ต่อชุดนี้ ซึ่งในระยะเวลาที่เข้ามาต้องเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ความยากจน โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อชีวิตของประชาชน มายาวนาน ซึ่งสามเดือนที่ผ่านมา ยังไม่เห็นการดำเนินงานแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับผลสำรวจที่สะท้อนว่า ภาพรวมผลงาน 3 เดือนของรัฐบาลยังประเมินไม่ได้ ร้อยละ 39.85 และต่ำกว่าที่คาดหวัง ร้อยละ 28.14 ทำให้ประชาชนเกิดความไม่เชื่อมั่นในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ถึงร้อยละ 54.99 เพราะนโยบายที่รัฐบาลทำได้เพียงอย่างเดียว คือ แจกเงิน 10,000 บาท สำหรับสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุด คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพื่อช่วยเรื่องปากท้องและรายได้ ซึ่งการแถลงครั้งนี้ ไม่ได้มีการพูดถึงผลงานแต่เป็นการกล่าวถึงสิ่งที่รัฐบาลจะทำในปีหน้า
แม้ว่าหากพิจารณากันอย่างเป็นธรรมแล้ว ผลงานในรอบ 3 เดือน หรือภายใน 90 วัน อาจเห็นอะไรได้ไม่ชัด เนื่องจากเวลาน้อยเกินไป แต่หากพิจารณากันในเรื่องการทำงานแล้ว ช่วงเวลาดังกล่าวมันก็เหมือนกับช่วงเวลาการ “ฝึกงาน” สามารถประเมินกันได้แล้วว่า สมควรจะจ้างให้ทำงานเป็นพนักงานประจำได้หรือไม่ ขณะเดียวกันเมื่อมองต่อเนื่องมาจากรัฐบาลของ นายเศรษฐา ทวีสิน รวมแล้วเป็นเวลาปีกว่าเข้าไปแล้ว เพราะไม่ว่านโยบาย ตัวบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีล้วนแล้วจะเป็นชุดเดียวกัน และที่สำคัญ “คนสั่งการ” ก็ยังเป็นคนเดียวกันเสียอีก
ดังนั้น เมื่อผลสำรวจที่สะท้อนความรู้สึกที่ออกมาแบบนี้ มันย่อมทำให้ “บางคน” รวมไปถึงระดับแกนนำในพรรคเพื่อไทย รู้สึกหวั่นไหว ไม่มั่นใจแน่นอน เพราะนี่คือ “ภาพจำ” ที่ติดลบ การที่ออกมาแบบนี้มันคือ “สอบตก” และการที่สอบตกตั้งแต่เทอมแรกแบบนี้ เป็นการเริ่มต้นได้ไม่ดีนัก ส่วนใหญ่รัฐบาลที่ผ่านมาในช่วงแรกๆ จะออกมาในลักษณะที่คะแนนนิยมยังดี จะเริ่มมีปัญหาเรื่องความนิยมเอาในช่วง 6 เดือน หรือ 1 ปีเป็นต้นไป
แต่สำหรับรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กลับต้องเจอกับความรู้สึกในทางลบ และความไม่เชื่อมั่นสูงแบบนี้ ทำให้ “หนักใจ” พอสมควร และที่สนใจก็คือ เป็น “ความไม่เชื่อมั่นในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” เสียด้วย ที่บอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะต้องไม่ลืมว่าพรรคเพื่อไทย มักเคลมจุดขาย จุดเด่นของพวกเขาคือ “มือเซียน” ด้านเศรษฐกิจ คุยโม้มาตลอดว่าเป็นมืออาชีพ แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด อ้างมาตลอดว่า หากพรรคเพื่อไทยและคนในครอบครัว “ชินวัตร” ได้บริหารประเทศรับรองว่าทุกอย่างวิ่งฉิว “เงินในกระเป๋า” ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน
แต่เมื่อผลออกมาแบบนี้ ย่อมต้องถือเป็นข่าวร้าย เพราะนี่คือการ “เริ่มต้นที่ไม่สวย” เอาเสียเลย เพราะอย่างที่บอกเมื่อภาพจำตั้งแต่เริ่มออกมาในทางลบแล้ว ในระยะต่อไปยิ่งน่าจะออกมาเลวร้ายกว่าเดิม เพราะหากพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆล้วนมีแนวโน้มชี้ไปทางลบทั้งนั้น ไม่ว่าเสียงวิจารณ์เย้ยหยันในเรื่องวุฒิภาวะ ไม่มีประสบการณ์ความรู้ความสามารถ สรุปรวมก็คือ ระบุตรงกันว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่พร้อมที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั่นแหละ และเชื่อว่าเสียงวิจารณ์แบบนี้จะแรงขึ้นเรื่อยๆ และ นายกรัฐมนตรีก็ยิ่งเผยจุดอ่อนออกมาให้เห็นเรื่อยๆเช่นกัน ประเภทยิ่งพูดก็ยิ่งมีเสียงหัวเราะตามมา
แน่นอนว่า เมื่อแนวโน้มออกมาเป็นลบอย่างนี้ ย่อมทำให้คนที่ “อยู่เบื้องหลัง” อย่าง นายทักษิณ ชินวัตร ย่อมปวดใจอย่างแน่นอน เพราะเขาทุ่มเททุกอย่าง ทั้งเรื่องนโยบาย แนวทางทุกอย่างที่คนในสังคมล้วนเชื่อตรงกันว่ามาจากตัวเขาทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อผลงานออกมาเป็นตรงข้าม มันก็สามารถชี้หน้าไปที่เขาว่านี่แหละคือ “ตัวการ” และความล้มเหลวของ น.ส.แพทองธาร ก็คือความล้มเหลวของ นายทักษิณ นั่นแหละ
นอกเหนือจากนี้ เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบภายนอก ในเรื่องเศรษฐกิจโลก ที่ดูแนวโน้มแล้วน่าหนักใจ จากเรื่อง “สงครามเศรษฐกิจ” ระหว่างมหาอำนาจ จะทำให้ไทยยุ่งยากไปด้วยจากมาตรการกีดกันทางการค้า ที่ว่ากันว่าจะเริ่มหนักหน่วงตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จากที่ปีนี้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่โตแค่ร้อยละ 2.4-2.6 ทำให้เป้าหมายที่คาดกันว่าในปีหน้าจะโตถึงร้อยละ 3 เป็นเรื่องยาก
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากจุดตายที่จะกลายเป็นความเสียหายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ชาวบ้านเริ่มมองเห็นตรงกันว่าเป็นแค่ “นายกฯฝึกหัด” ไร้ประสบการณ์ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะสิ่งที่คนอยากเห็นที่สุดก็คือการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง แต่จากที่ผ่านมายังมองไม่เห็นแนวโน้มที่ดีเลย และเรื่องนี้จะทำลายพวกเขาในที่สุด เพราะหากจุดขายเรื่องแบบนี้ไม่มีแล้ว มันก็จบเห่ !!