xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ” ส.ท.ร. เบ่งบารมี ด่ากราดพรรคร่วม อีแอบ...“เสี่ยหนู” ตีมึน บอกไม่ใช่ภูมิใจไทย ** พระปีนเสา-อาจารย์เบียร์ เปิดศึกตื่นธรรม จบด้วยธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - อนุทิน ชาญวีรกูล - อาจารย์เบียร์ ขอขมา พระปีนเสา
ข่าวปนคน คนปนข่าว


++ “ทักษิณ” ส.ท.ร. เบ่งบารมี ด่ากราดพรรคร่วม อีแอบ...“เสี่ยหนู” ตีมึน บอกไม่ใช่ภูมิใจไทย

การสัมมนา สส.พรรคเพื่อไทย ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็น “พ่อนายกรัฐมนตรี” และ “พ่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ก็ไปยืนเกาะโพเดียมอบรมสส.ด้วย ในฐานะวิทยากรรับเชิญ

เป็นที่น่าสังเกตว่าตั้งแต่ “อุ๊งอิ๊งค์” เป็นนายกฯ อะไรที่เกี่ยวกับรัฐบาล เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย จะมี “ทักษิณ” ออกหน้าทุกงาน ไม่เว้นแม้กระทั่งเลือกตั้ง นายก อบจ.

ในการสัมมนาวันนั้น “ทักษิณ”นอกจากให้ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เรื่องเงินตราสกุลใหม่ คริปโตเคอร์เรนซี่ หรือ เงินในอากาศ แล้วเขายังเล่นบท “พ่อหัวหน้าพรรค” โดยตำหนิพรรคร่วมรัฐบาล ที่เลี่ยงไม่เข้าประชุมครม.ในวาระที่เพื่อไทยเสนอกฎหมายสำคัญ (กฎหมายภาษี) ว่าเป็นพวก “อีแอบ” พร้อมท้าให้ลาออกไป หากมีพฤติกรรมแบบนี้

ทักษิณ ชินวัตร
...มีพรรคร่วมบางพรรค หลบ ป่วย อย่างนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณนี่หว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องด้วยกันสิ วันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนี ก็บอกว่าหนี ถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย ง่ายดี ผมเป็นคนเกลียดพวกอีแอบ ตรงไปตรงมา ง่ายๆ อยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าอยู่ก็ต้องสู้ด้วยกัน ในเมื่อเป็นนโยบายรัฐบาลร่วมกัน แถลงนโยบาย คุณยกมือเห็นด้วย พอได้เก้าอี้ รัฐมนตรีค่อยๆ หลบมือออก ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา...

อีกทั้งก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ที่ “สส.หัวเขียง” คนของพรรคเพื่อไทย เสนอ ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม หรือกฎหมายต้านรัฐประหาร แล้ว “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาขวาง พร้อมพูดแบบ “เอาหล่อ” ว่า ถ้านักการเมืองซื่อสัตย์สุจริต ไม่คอร์รัปชัน ไม่เอื้อประโยชน์พวกพ้อง ทหารก็ปฏิวัติไม่ได้
ซึ่งเรื่องนี้ “ทักษิณ” ก็ออกมา สวนทันควันว่า “พูดเอาหล่อเร็วไป ขอให้หล่อช้าๆ หน่อย” พอ “เสี่ยหนู” ได้ยินแบบนั้น ก็ต่อปากต่อคำ ว่าตัวเอง “ยังไม่หล่อ หล่อช้าไปด้วยซ้ำ ขอเอาแค่ดูดี จีบสาวได้ก็พอ”

แน่นอนว่าสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน ผู้ที่ติดตามการเมืองย่อมเฉลยคำใบ้ได้ว่า “พรรคอีแอบ” นั้นน่าจะหมายถึง พรรคภูมิใจไทย

โดยเฉพาะเมื่อไปเช็กชื่อรัฐมนตรี ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมครม. เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่มีการพิจารณาเรื่องภาษี ปรากฏว่า มี รัฐมนตรี 7 คนที่ลาประชุมครม. คือ 1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย 2. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน 3. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ 4. นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย 5. นายอัครา พรหมเผ่า รมช. เกษตรและสหกรณ์ 6. นายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รมช. ศึกษาธิการ และ 7.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ โดยเป็นข้อมูล ณ เวลา 09.00 น. ของการประชุม ครม.ในวันนั้น

ใน 7 คนนี้ เป็นรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย 3 คน จนกระทั่งการประชุมผ่านวาระเรื่องภาษีไปแล้ว “อนุทิน” ถึงได้เข้ามาร่วมประชุม ส่วน “ทรงศักดิ์” ติดภารกิจเปิดงานของกระทรวงมหาดไทย ขณะที่ “สุรศักดิ์” แจ้งลากิจ

ด้าน "อนุทิน" ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่อง “อีแอบ” ก่อนเดินทางไปประเทศมาเลเซียกับคณะของนายกรัฐมนตรี ว่า “อีแอบ” ไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เพราะ “ทักษิณ”พูดถึงคนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม แต่ตนเองเข้าประชุม และมีการติดต่อประสานงานกันอยู่ตลอดเวลา ขออย่าไปใส่ใจเรื่องพวกนี้

...ไม่ใช่หมายถึงผมแน่ๆ ก็แล้วกัน แต่หมายถึงใคร ก็ต้องไปถามท่านดู เพราะท่านเป็นผู้พูด และท่านไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่เรารู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะท่านหมายถึงคนที่ไม่ได้ไปร่วมประชุม ครม. แต่ผมไป มันก็จบ ผู้สื่อข่าวก็เห็น คนที่ยืนถัดจากนายกฯ ก็คือผม ในการแถลงข่าวหลังการประชุมครม. ขอย้ำว่าอย่าไปใส่ใจ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ หยุมหยิม...เดี๋ยววันอังคารที่ 17 ธ.ค. ก็จะประชุม ครม.นัดต่อไป ทุกอย่างก็จบ

เป็นการ “ตีมึน” เล่นบทไม่สนใจ แม้ว่าจะถูกออกปากไล่ แต่ “หนูทนได้” เพราะยังต้องรักษาผลประโยชน์ ยังต้องเป็นพรรคร่มรัฐบาล อยู่ใน ครม.

“อนุทิน” ยังเล่นมุก แขวะฝากผู้สื่อข่าวกลับไป ว่า "วันนี้หล่อหรือยัง!!"

 แพทองธาร ชินวัตร
ขณะที่ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ก็เฉไฉ เพื่อปกป้อง “พ่อนายกฯ” ว่าท่านน่าจะพูดจากประสบการณ์ การทำงาน ที่มีพรรคร่วมอยู่ด้วยกัน ต้องร่วมมือซึ่งกันและกัน ซึ่งรัฐบาลนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่ ตนเองคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร วันนั้นมีหลายท่านติดภารกิจ จึงคิดว่าท่านทักษิณพูดในทำนองที่ว่า ถ้ามีเรื่องอะไรร่วมก็ต้องช่วยกัน “ซัปพอร์ต” ซึ่งกันและกัน เป็นแนวคิดในวงกว้างแบบนั้นมากกว่า ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร ถึงใคร เป็นพิเศษ

“ไม่นะคะ ไม่รู้สึกว่าส่งถึงใคร เพราะหลายๆ ท่านก็ทราบว่าลา”

จากปัญหาความระหองระแหง เล่นเกมต่อรอง ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคภูมิใจไทย ที่มีออกมาเป็นระยะๆ ทำให้ “สามารถ แก้วมีชัย” อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก เหน็บแนม แกมประชดว่า...

ครรลองประชาธิปไตย พรรคประชาชน มีที่นั่งในสภาฯมากที่สุด ในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน น่าจะลองทาบทามพรรค ภท.- รทสช- พปชร- ปชป. มาร่วมกันตั้งรัฐบาลขั้วใหม่ดู จะได้มีโอกาสทำงาน บ้านเมืองอาจดีขึ้นกว่านี้

จะว่าไปแล้ว การออกมาพูดของ “ทักษิณ” อาจจะมองได้ว่า เป็นการออกมาปรามพรรคร่วม แทน “นายกฯอิ๊งค์” ลูกสาว ที่ยังอ่อนพรรษา

หรืออาจจะมองได้ว่าเป็นความอหังการ์ ที่ว่าตนเอง หรือพรรคเพื่อไทย กุมสภาพได้หมด ไม่มีพรรคร่วมพรรคใดกล้าหือ

เพราะถ้าออกไป ก็ไปจัดตั้งรัฐบาลใหม่กับขั้วพรรคประชาชนไม่ได้ ถึงแม้จะดิ้นไปได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า อำนาจ “ยุบสภา” นั้นอยู่ในมือ “นายกฯอิงค์”

อาจารย์เบียร์ ขอขมา พระปีนเสา
++ พระปีนเสา-อาจารย์เบียร์ เปิดศึกตื่นธรรม จบด้วยธรรม

มีข่าวก่อนหน้าออกมาว่า ระหว่างพระครูปลัดธีระ หรือ "พระปีนเสา" กับ "อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม" ได้เจรจายุติศึกหลังจากที่เปิดสงคราม "วิวาทะ" ว่าด้วยธรรมะ มาต่อเนื่องชนิดโลกโซเชียลฯ ร้อนระอุเดือดปุดมาพักใหญ่

จากประเด็นถกเถียงธรรมะที่ไม่มีใครยอมใคร ลากเอาพระและฆราวาสคนอื่นๆ ม้วนเข้าในสงครามแบ่งฝักแบ่งฝ่าย พอมีกระแส "เคลียร์ใจ" ชาวประชาโซเชียลฯ ก็ถามไถ่ติดตาม

ล่าสุดชาวเน็ตและเอฟซี.ของสองฝั่ง คงได้เห็นกันไปแล้วกับภาพที่เห็น และบรรยากาศที่เป็นไป ณ มหาวิหารวชิรธรรมพุทธาวาส แห่ง อนัตตจักรวาลหรือเมืองโบราณ สมุทรปราการ

พระปีนเสาขอโทษอาจารย์เบียร์ ขณะที่ คนตื่นธรรม ถือพานเข้ากราบขอขมาพระ

ท่ามกลางญาติโยมเป็นสักขีพยาน หลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม หรือ "พระสิ้นคิด" และ พระอาจารย์ตะวัน ที่ว่ากันว่าเป็นผู้ประสานดับไฟสงคราม นอกจากนี้ ยังมีครูบาฉ่าย, แม่ชีเจิ้น และคณะร่วมด้วย

ฟังว่า จังหวะที่อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรม ถือพานเข้ามาก้มกราบพระปีนเสา เพื่อขอโทษขออภัยในสิ่งที่ได้กระทำล่วงเกินที่ผ่านมา ขณะที่พระปีนเสาได้มอบพระให้ บอกว่า “ให้ด้วยหัวใจ” ทำเอาคนที่อยู่ร่วมบริเวณนั้นส่งเสียง สาธุ ...สาธุ กระหึ่ม

พร้อมกับเสียงของชาวโซเชียลฯ ที่ว่า คนหนึ่งให้อภัย คนหนึ่งได้ใจ

นี่แหละคือ ตื่นธรรมจริงๆ

ไม่ยึดติด ไม่มีอีโก้ จะพระ ฆราวาส กว่าจะรู้ธรรม

เข้าใจในธรรม ก็เริ่มจากการค่อยๆขัดเกลา ค่อยๆศึกษาและปฏิบัติ

งานนี้แม้จะยังมีคนกังขา เบื้องหลังจะเป็นอย่างไร!? เป็นเรื่องของนานาจิตตัง ก็ต้องชื่นชมทั้งสองฝ่าย ลดละทิฐิการเอาชนะคะคาน หันมาค่อยพูดค่อยฟังกันจนเกิดภาพที่ดีต่อสายตาพุทธศาสนิกชน

ถือว่า คู่นี้เกิดศึกเพราะประเด็นธรรม จบลงด้วยก็เพราะธรรม


กำลังโหลดความคิดเห็น