เมืองไทย 360 องศา
คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร กลางวงประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทย เมื่อวันก่อน สะท้อนออกมาในหลายอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธต่อพรรคร่วมรัฐบาล ในทำนองว่ายังไม่เต็มร้อยกับการสนับสนุน “ลูกสาว” ของตัวเองที่เป็นนายกรัฐมนตรี คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขณะเดียวกันการที่พูดแบบนี้ออกมาย่อมมองออกว่า บรรดาพรรคร่วมฯ เหล่านั้นยังไม่ (กล้า) ตีจากไปง่ายๆ แน่นอน
“ 2 วันก่อน มีการเอาพ.ร.ก.เข้า ปรากฏว่า มีพรรคร่วมบ้างพรรคโอดโอย แบบนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณ อยู่ด้วยกันก็ต้องพูดกัน ไม่อยากอยู่ก็ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ถ้าอยากอยู่ก็อยู่ ถ้าไม่อยากอยู่ก็ส่งใบลาออกมา ง่ายดี”
นายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้พรรคร่วมรัฐบาล ส่วนใหญ่เคยอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ไทยรักไทย เคยร่วมรัฐบาลกันมาก็เยอะ เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ควรจะดี แต่บางทีบางครั้งบางคน ก็ตื่นเต้น ตื่นเต้นกับคนมาร้อง คนจะมาเดินขบวน
“บังเอิญว่าเมื่อก่อนผมไปนครปฐม หมูมันเปลี่ยนเสียงเรียก มันเรียกผมพี่ๆ แต่เมื่อคืนก่อน ผมไปนครปฐมอีกที หมูมันไม่เปลี่ยนเสียงเรียกแล้ว มันไม่เรียกพี่แล้ว มันอู๊ดๆ เหมือนเดิม แสดงว่า ผมไม่หมูแล้วนะ ขนาดหมูมันยังรู้ว่าผมไม่หมูแล้ว เพราะฉะนั้นไอ้คนที่ร้องผม ร้องพรรค ร้องไม่สำเร็จ ก็เตรียมถูกเช็กบิลด้วยละกันนะ”
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า พรรครวมรัฐบาล เราต้องทำงานด้วยกันแบบร่วมกันจริงๆ ตรงไปตรงมา มีอะไรไม่พอใจให้พูดคุยกัน เราปรับได้ แต่สิ่งไหนที่เป็นนโยบายรัฐบาลต้องทำ เพราะเราสนับสนุนกันร่วมมาแล้ว
“ไม่ใช่ได้ตำแหน่งแล้ว ไม่เอาแล้ว ทั้งนี้กระบวนการทางประชาธิปไตยง่ายจะตาย มีหลาย option จึงอยากส่งสัญญาณให้รู้ว่า วันนั้นไม่สวยเลย ที่มีการหลบหาย เมื่อ พ.ร.ก.เข้า และ พ.ร.ก. มันคือมาตรการ pillar2 ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์การเก็บภาษี OECD ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการเก็บภาษีในไทย ดังนั้น ไม่ดีเลย ลูกผู้ชายมาด้วยกันก็ไปด้วยกัน จึงอยากฝากทุกพรรคทำงานร่วมกันง่ายมาก คือการตรงไปตรงมา”
นั่นเป็นบางช่วงบางตอนจากคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ระหว่างการสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายพุ่งไปที่พรรคร่วมรัฐบาล ส่วนจะเป็นพรรคใดบ้างนั้น ค่อยมาว่ากันในภายหลัง
เพราะนาทีนี้ต้องมาประเมินกันก่อนว่า ทำไม นายทักษิณ ถึงพูดออกมาแบบนั้น ไม่เกรงว่าจะส่งผลต่อเสียรภาพของรัฐบาล “ลูกสาว” ตัวเองหรือ ถ้ามองจากเรื่องแรกก่อนว่าสาเหตุการพูดออกมาแบบนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ซึ่งมันก็เป็นคำถามตามว่าเป็นเพราะมันมี “ความเสี่ยง” ไม่ชอบมาพากลอะไรหรือเปล่า จนทำให้พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคถึงกับหาทาง “ชิ่ง” ไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย มันก็ต้องมีสาเหตุเหมือนกัน
เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนร่างแก้ไขพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่ต้องการเข้าไปแทรกแซงกองทัพ จนต้องถอยออกมา เพราะหากเดินหน้าก็จะมีความเสี่ยงในเรื่องความตึงเครียดทางการเมือง หรืออาจเลวร้ายจนกลายเป็นชนวนให้เกิดการรับประหารเกิดขึ้นได้อีก
ขณะเดียวกัน ประเด็นถัดมาก็คือ การที่นายทักษิณ กล้าพูดออกมาแบบนั้น ก็น่าจะมาจากการประเมินแล้วว่า เขากำลังควบคุมทุกอย่างอยู่ในมือแล้ว พิสูจน์ได้จาก กรณี “ชั้น 14” ที่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้เลย และเชื่อว่าในอนาคตก็คงเอาผิดตัวเขาได้ยาก จนเกิดความมั่นใจ โดยเฉพาะมั่นใจว่า ไม่มีพรรคร่วมพรรคไหนกล้าแตกหัก ถอนตัวออกจากรัฐบาลแน่นอน และทุกพรรคก็ไม่อยากให้เกิดการเลือกตั้งเร็วๆ นี้ เนื่องจากทุกพรรคต้องการเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น
อีกทั้งการพูดออกมาแบบนี้ นายทักษิณ ยังมั่นใจอีกว่า พรรคร่วมรัฐบาลต้อง “แพ็ก” กับพรรคเพื่อไทยต่อไปจนถึงหลังการเลือกตั้งคราวหน้าอีกด้วย นั่นคือ ยังต้องเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยต่อไป เพื่อสกัดกั้นพรรคประชาชนที่อยู่คนละขั้วกันต่อไป แม้ว่าทั้งสองฝ่ายคือ เพื่อไทยกับพรรคร่วมฯ ยังมีลักษณะพึ่งพากัน แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย จะมีทางเลือกมากกว่าก็ตาม โดยเฉพาะมีโอกาสจับมือกับพรรคประชาชน ซึ่งภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้ 200 เสียงขึ้นไป แต่หากเพื่อไทยแพ้ เป็นพรรคอันดับสอง ก็ต้องหันมาจับมือกับพรรคร่วมเดิมอยู่ดี เนื่องจากต้องการเป็นแกนนำเท่านั้น
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบ มีรายงานว่า มีรัฐมนตรีที่ไม่ได้เข้าประชมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วย 1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 2.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมไปถึงรัฐมนตรีที่ไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนั้น ก็พบว่าส่วนใหญ่เป็นรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ
แม้ว่าในเวลาต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยจะมาบอกว่า จะฟังจากปากของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวก็ตาม ซึ่งก็พูดไปตามหลักการเท่านั้น ขณะที่ทางฝั่งพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ยังไม่มีท่าทีอะไรออกมา
เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์โดยรวมแล้ว คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร มันก็เหมือนเป็นการ “ด่าดังๆ” ตามสไตล์ของคนที่เป็นเจ้าของทุกอย่าง แต่ไม่ได้ดังใจทุกเรื่อง ย่อมมีความหงุดหงิดเป็นธรรมดา แต่ในใจก็รู้ดีว่ายังต้องพึ่งพากันไป อย่างน้อยก็จนจบวาระรัฐบาลนี้ ไม่กล้าแตกหักเพื่อนำไปสู่การยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่แน่นอน
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งสำหรับพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ต่างกัน ไม่มีพรรคไหนอยากออกจากรัฐบาลตอนนี้ หรือมีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้เหมือนกัน
ดังนั้นหากสรุปในเวลานี้ พิจารณาจากคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร น่าจะมาจากอารมณ์หงุดหงิด ไม่ได้ดังใจ แต่ขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าตัวเองคุมได้ทุกอย่าง รวมถึงมั่นใจว่าไม่ว่าอย่างไร ไม่มีพรรคร่วมพรรคไหนกล้าที่จะถอนตัวออกไป แน่นอน ยังต้องการเป็นพันธมิตรแพกกันแบบนี้ต่อไป
แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การผลักดัน “ลูกสาว” คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้ามามันไม่เวิร์กควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ต้องรอให้พ่อต้องขันน็อตหรือ “แบก” ตลอดเวลา ซึ่งระยะยาวไม่เป็นผลดีแน่นอน !!