ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ธงทอง จันทรางศุ” ต่างอะไรกับ “ตาเถรขวาด” ผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า แต่ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้คน
ปากก็พากันเย้ยหยันว่า “ม็อบสนธิ” จุดไม่ติด ไม่มีมวลชนแล้ว แต่ทว่านับตั้งแต่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ออกมาเคลื่อนไหวเรื่อง MOU 2544 บรรดาคนรอบข้าง“ทักษิณ ชินวัตร” ต่างดาหน้ากันออกมาปกป้องนายกันไม่เว้นแต่ละวัน
ไล่ไปตั้งแต่อดีตแกนนำม็อบเสื้อแดงแถวสอง อย่าง “วรชัย เหมะ” , “พายัพ ปั้นเกตุ” ขึ้นไปจนถึง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกลาโหม
ไม่เว้นแม้กระทั่งคนอย่าง “ธงทอง จันทรรางศุ” หนึ่งในคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี หรือที่รู้จักในนาม “ทีมบ้านพิษณุโลก”
โดยภาพลักษณ์ของ “ธงทอง” คนที่เคยเป็นครูบาอาจารย์ มีคำว่า “ศาสตราจารย์พิเศษ” นำหน้า เป็นผู้บรรยายทางโทรทัศน์ ตอนถ่ายทอดสดงานพระราชพิธีต่างๆ ก็คือกูรูผู้ให้ความรู้อธิบายเรื่องราวตามหลักวิชาการ
แต่ก็ต้องแสดงบทบาทองครักษ์พิทักษ์นาย เช่นเดียวกับบรรดาอดีตแกนนำม็อบเสื้อแดงแถวสอง ต่างกันก็แต่ลีลาสำนวนโวรหารที่เปล่งออกมาเท่านั้น
ล่าสุด “ธงทอง” เขียนบทความเรื่อง “ธนาคาร แผ่นเสียง เทป ม็อบ และ DISRUPT” ใน “มติชนสุดสัปดาห์” ซึ่งเผยแพร่ตั้งแต่ปลายเดือนก่อน แต่เแฟนเพจของมติชนสุดสัปดาห์ ตัดเอาบางส่วนมารีรันทางเฟซบุ๊กเมื่อไม่วันที่ผ่านมา มีความบางตอนว่า
“ในทางการเมืองภายในประเทศบ้านเรา ผมดูข่าวโทรทัศน์เมื่อตอนหัวค่ำวันนี้ เห็นการประท้วงเรื่องอะไรเรื่องหนึ่ง ภาพข่าวทำให้ผมเห็นว่าผู้ที่ชุมนุมประท้วงหลายสิบคนนั้นประเมินอายุโดยเฉลี่ยแล้วไม่มีใครอายุต่ำกว่า 50 ปีเลย
“อุปกรณ์การชุมนุมประท้วง ล้วนเป็นของที่แต่ละท่านถือติดไม้ติดมือมาไม่น้อยกว่าสิบปี เป็นต้นว่า มือตบ และผ้าพันคอเก่าคร่ำคร่า
“เห็นแล้วทำไมนึกถึงแผ่นเสียงตกร่อง หรือเทปคาสเซ็ต ที่หาเครื่องเปิดฟังไม่ได้แล้วอย่างไรก็ไม่รู้
“ดูแล้วก็มีแต่ความเข้าใจ เห็นใจและเป็นห่วง เพราะแต่ละคนวัยเดียวกันกับผมทั้งน้านนนนนน
“นี่ถ้าเป็นลมเป็นแล้งไป ลูกหลานเขาจะเคืองเอานะครับ ว่าไม่รู้จักดูแลตัวเองโปรดถนอมสุขภาพด้วย”
ถึงแม้ในบทความชิ้นนี้ “ธงทอง” ไม่ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ไหน แต่เมื่อมีคำว่า “มือตบ และผ้าพันคอเก่าคร่ำคร่า” ก็คงต้องเป็นงาน “ความจริงมีหนึ่งเดียว” ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งบรรดาแม่ยก-พ่อยกพันธมิตรฯ มีโอกาสได้กลับมาพบปะ รำลึกความหลังกันอีกครั้ง พร้อมกับฟังสาระความรู้บนเวที
จะว่าไปงานวันนี้ก็เป็นเพียงทอล์กโชว์ประกอบข้อมูลให้ความรู้เท่านั้น ยังไม่ใช่ชุมนุมประท้วง หรือลงถนนอะไรเลย
แต่ “ขรัวธงทอง” ก็ถือโอกาสด้อยค่าไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าเป็นการชุมนุมที่มีแต่คนแก่ๆ อุปกรณ์ชุมนุมก็เป็นของเก่าเก็บมากว่าสิบปี แสดงความเป็นห่วงใยว่า ถ้าเป็นลมเป็นแล้งไป ลูกหลานจะเคืองเอา ขอให้ดูแลสุขภาพด้วย
ท่าทีเสแสร้งแบบนี้ ผู้คนเค้าดูออก “ไพศาล พืชมงคล” นักกฎหมายผู้ตามคิดสถานการณ์การเมืองมาอย่างยาวนาน ถึงกับเปรียบเปรยว่า การแสดงความห่วงใยสงสารของ “ขรัวธงทอง” ไม่ต่างจาก จระเข้ ที่เวลาขม้ำเหยื่อก็มีน้ำตาไหลออกมาด้วย
คือปากก็พูดว่าห่วงใยเพื่อแสดงน้ำใจ แต่ความหมายโดยนัย คือ เชือดเฉือน เย้ยหยัน ด้อยค่า ไม่ให้คนออกมาร่วมชุมนุม
เรื่องความรู้ความสามารถของ “ธงทอง” นั้น คงไม่มีใครปฏิเสธ เพราะเคยเป็นถึง คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เคยเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการกฤษฎีกา และกรรมการอะไรต่อมิอะไร อีกหลายชุด
ส่วนชาติตระกูล ก็นับว่าใกล้ชิดกับในรั้วในวังพอสมควร เพราะมีพ่อเป็นอดีตผู้ถวายงานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และ รัชกาลที่ 7 จนได้รับพระราชทานนามสกุลจันทรางศุ
แต่ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่า “ขรัวธงทอง” จะไปรับใช้ใกล้ชิดฝ่ายที่เป็นปัญหาต่อสถาบันฯ เสียมากกว่า
โดยเฉพาะในยุคที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯ สมัยแรก “ธงทอง” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย ถูกเรียกใช้บริการ ในฐานะเป็น “เนติบริกร” อีกคนหนึ่ง จนมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้เป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ทั้งยังเคยเป็นกรรมการ อสมท. โชว์ผลงานให้นายใหญ่เห็นด้วยการถอดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” พ้นจอช่อง 9 เมื่อปี 2548
ว่ากันว่า คนที่ไปดูที่ทางให้ “ทักษิณ ชินวัตร” บังอาจนั่งทำพิธีในวัดพระแก้ว เพื่อต่อชะตาให้ตัวเอง ก็คือ “ธงทอง” นี่เอง
แม้ตัวทักษิณ จะพ้นเก้าอี้นายกฯ ไปแล้ว แต่ “ธงทอง” ก็ยังรับใช้ระบอบทักษิณเสมอมา ได้เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปี 2551
เป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ช่วงปี 2554 จนกระทั่งยิ่งลักษณ์ถูกรัฐประหารในปี 2557
แล้ว “ธงทอง” ก็กลับมามีตำแหน่งในรัฐบาลอีกครั้งในรัฐบาลเพื่อไทย ด้วยการนั่งที่ปรึกษานายกฯ ช่วง “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นที่ปรึกษานโยบายฯ ในรัฐบาลลูกสาวนายใหญ่
เรียกได้ว่าติดตามรับใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อ ยันรุ่นลูก
มาถึงวันนี้ คงต้องหยิบคำพูดของ “ไพศาล พืชมงคล” มาเตือนสติ “ธงทอง จันทรางศุ” ว่า ระวังจะเหมือน “ตาเถรขวาด” ผู้เรืองวิทยาคมทางภาคเหนือในอดีต จนสามารถแปลงร่างเป็นจระเข้ได้
แต่ได้ใช้วิชาคมนั้นก่อกรรมทำเข็ญให้แก่ผู้คนมากมาย จนในที่สุดก็ต้องตายอย่างอนาถ ท่ามกลางความเหยียดหยามของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้
++ กฎหมายต้านปฏิวัติแท้ง “หัวเขียง” ถอยกรูด “ไอติม”เชียร์ฮึดสู้
ร่าง แก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบข้าราชการกระทรวงกลาโหม หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายต้านการปฏิวัติ” ที่ “หัวเขียง” ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ นำเสนอ ถูกคัดค้านอย่างหนัก จากพรรคการเมือง ทั้งในซีกฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล แม้แต่ในพรรคเพื่อไทยเองก็ยัง“เสียงแตก”
ก็ขนาด “หัวโต” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้ต้องหาคดี มาตรา 112 ปัจจุบันลี้ภัยที่ประเทศฝรั่งเศส ยังออกมาโพสต์ข้อความใน X ในเชิงปรามาส ถากถาง ว่า ...พรรคเพื่อไทยจะแก้กฎหมาย ไม่ให้ทหารรัฐประหาร จะลงโทษทหารที่ทำรัฐประหาร ฯลฯ เป็นข่าวปล่อยมาเล่นๆ ครับ ชาติหน้าตอนบ่ายๆ ค่อยว่ากัน เบื่อฉิบหาย..!!
ไฮไลต์ ของร่างกฎหมายฉบับนี้ อยู่ที่การให้อำนาจ ครม.ในการพิจารณาแต่งตั้ง โยกย้ายนายพล และให้อำนาจนายกรัฐมนตรีและครม. มีอำนาจ “สั่งปลด” นายทหาร ที่รัฐบาลเห็นว่า หรือ มีข้อมูลว่า กำลังเคลื่อนไหวจะทำการยึดอำนาจรัฐบาล หรือ คิดทำรัฐประหาร
เรียกได้ว่า เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจฝ่ายการเมือง แทรกแซง กำกับ ควบคุมกองทัพ แบบเบ็ดเสร็จ สุดซอย
นับเป็นความ “เหิมเกริม” ของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ยิ่งกว่าที่ได้ทำมาแล้ว อย่างการเอาพลเรือนที่เป็น “อดีตสหาย” เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ มาคุมกองทัพไทย
พฤติกรรมการเสนอกฎหมายครั้งนี้ จึงเห็นได้ชัดว่า มีความพยายามจะ “กินรวบ” ทั้งทหาร ตำรวจ จะเอาทหารของพระราชา มาเป็นทหารของนักการเมือง โดยอ้างสกัดการรัฐประหาร
ต้องไม่ลืมว่า ว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 8 พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ทหารนั้นเป็นทหารของพระราชา ค้ำจุนราชบัลลังก์ สถาบันกษัตริย์ ให้อยู่คู่กับประเทศไทย การออกแบบใหม่ให้ฝ่ายการเมืองอยู่เหนือผู้บัญชาการเหล่าทัพ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และสุ่มเสี่ยงอย่างมาก
นอกจากพรรคประชาชนแล้ว บรรดาพรรคการเมืองอื่นๆ ต่างแสดงท่าทีออกมาว่า ไม่เอาด้วยกับร่างกฎหมายนี้!!
เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติ ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพไทย การไปแตะทหารของพระราชา พยายามเข้าไปแทรกแซงทหาร ก็ไม่ต่างจากการพยายามแก้ไข มาตรา 112
พรรคเพื่อไทย ที่ระยะหลังพยายามสร้างภาพ ว่าเป็นฝ่าย “อนุรักษ์นิยมใหม่” เทิดทูนสถาบันฯ หากยังขืนผลักดันร่างกฎหมายนี้ต่อไป ก็ไม่ต่างกับเปลือยกายล่อนจ้อน ให้สังคมได้เห็นธาตุแท้ ว่า พูดอย่าง ทำอย่าง
ล่าสุด“หัวเขียง” ได้ออกมาประกาศตีธงถอย โดยบอกว่า จากการรับฟังความเห็นของประชาชน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีเสียงคัดค้านจำนวนมาก ดังนั้น ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ ที่มีการเปิดสภา และมีการประชุมพรรคเพื่อไทย ตนจะเสนอต่อพรรค ขอถอน ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม กลับไปปรับปรุงแก้ไขใหม่ ถ้าพรรคโอเค ก็จะไปขอถอนร่าง ต่อสภาผู้แทนราษฎร ในวันเดียวกันทันที
“หัวเขียง” บอกว่า ร่างกฎหมายนี้ ตนและคณะ เป็นผู้เสนอในนามส่วนตัว ไม่ใช่ในนามพรรคเพื่อไทย ส่วนเมื่อถอนออกมาแล้ว จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ขอรอดูความเห็นจากประชาชนอีกที
ความหมายคือ ไม่ใช่เลิก แต่ขอแต่งตัวใหม่ รอจังหวะนำเสนออีกครั้ง
ขณะที่ “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน หรืออดีตพรรคก้าวไกล ก็ออกมาเชียร์ “หัวเขียง” ว่า ที่กำลังทำอยู่นั้น ถูกแล้ว เราต้องปฏิรูปกองทัพ ให้มาอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ตามหลักการประชาธิปไตย และหลักสากล ซึ่งพรรคก้าวไกล ก็เคยเสนอ “ปรับลดอำนาจสภากลาโหม” มาแล้ว แต่ไม่ผ่าน
ร่างกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ที่จะเสนอครั้งนี้ ก็สอดคล้องกับ ของพรรคประชาชน หากสองพรรคจับมือกันแน่น ก็จะมีเสียง ส.ส.ถึง 290 เสียง สามารถผลักดันให้ทุกร่างผ่านความเห็นชอบของสภาได้ ในวาระที่ 1 จากนั้นค่อยไปถกกันในชั้นกรรมาธิการ ส่วนที่มีบางพรรคไม่เห็นด้วยนั้น ไม่เป็นอุปสรรค
สำหรับในชั้นวุฒิสภา ถ้า สว.ไม่เห็นด้วย ก็ตั้งกรรมาธิการร่วม อย่างมากที่สุดก็แค่ชะลอไป 180 วัน ซึ่งเรารอได้
ก็ต้องติดตามว่า เมื่อมีข้อเสนอจาก “ไอติม” อย่างนี้ “หัวเขียง” จะฮึดสู้อีกรอบหรือไม่
อ้อ!! ขอให้รู้ไว้ว่า “หัวเขียง” คนนี้แหละ ที่เล่นแร่แปรธาตุ จากร่าง กฎหมายนิรโทษกรรมธรรมดา ของ “วรชัย เหมะ” กลายเป็น ร่าง กฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย เพื่อช่วย “ทักษิณ ชินวัตร” ผลสุดท้าย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ถูกรัฐประหาร!!