xs
xsm
sm
md
lg

กม.ต้านปฏิวัติ หรือแทรกแซงกองทัพ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล - ภูมิธรรม เวชยชัย
เมืองไทย 360 องศา

ไม่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยคิดอะไรอยู่ในใจ เมื่อมีการเสนอ ร่าง แก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม โดยมีข้อสังเกตเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย ผบ.เหล่าทัพ และการสกัดการทำปฏิวัติ ความหมายคือ ต้องการให้รัฐบาล หรือคณะรัฐมนตรี สามารถแต่งตั้งโยกย้าย รวมถึงสั่งให้ผู้นำกองทัพ หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หากเห็นว่ามีพฤติกรรมที่เชื่อว่าส่อไปในทางที่จะทำการรัฐประหารยึดอำนาจ

การเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว เรียกเสียงฮือฮาจากสังคมพอสมควร เนื่องจากมองว่าพรรคเพื่อไทย กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะการเสนอแบบนี้ ย่อมสร้างความตึงเครียดเกิดขึ้นมาโดยไม่จำเป็น ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพในเวลานี้ ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดี การมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจากพลเรือน ที่ส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบันก็ถือว่าราบรื่น

อย่างไรก็ดี หากมองอีกด้านหนึ่งการเสนอกฎหมายแบบนี้ขึ้นมา มันก็ไม่ต่างจากความพยายามเข้ามาแทรกแซงกองทัพ ของฝ่ายการเมือง เข้ามาล้วงลูกแต่งตั้งคนของตัวเอง ญาติพี่น้องของตัวเอง เข้ามากุมอำนาจในกองทัพ เพื่อเป็นฐานสนับสนุน เหมือนกับในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่มี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เวลานั้นมีการแต่งตั้งเครือญาติ ขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพ รวมไปถึงในกองบัญชาการตำรวจแห่งชาติมากมาย

ทั้งนี้ นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำ ส.ส.พรรคเพื่อไทย หนึ่งในแกนนำเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว อธิบายว่า การที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรี มีอำนาจในการพิจารณาโผรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพล ก็เพื่อเป็นการป้องกันเหตุบางอย่าง รวมถึงเพื่อให้คนที่จะได้รับการแต่งตั้งเลื่อนขั้นสูงขึ้น มีความยากขึ้น ไม่ใช่อยากจะดันใครขึ้น ก็ขึ้นได้ง่ายๆ แนวคิดนี้ไม่ใช่การดึงอำนาจจากกองทัพมาไว้ที่ ครม.แต่เพราะ ครม.ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย ในการบริหารราชการแผ่นดิน จึงต้องให้อำนาจคณะรัฐมนตรี ในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายโผนายพลด้วย เพื่อรักษามาตรฐานการขึ้นสู่ตำแหน่งของทหาร ซึ่งแนวทางนี้ก็จะทำให้อำนาจของคณะกรรมการพิจารณาโผแต่งตั้งนายทหารระดับสูง ลดน้อยลงไป แต่ข้อดีคือ ทำให้ ครม.มีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ เพราะคนขึ้นมาสูงระดับนี้ (ครม.) ต้องร่วมรับผิดชอบต่อบ้านเมือง

นายประยุทธ์ ยังอ้างเหตุผลในการพิจารณาโยกย้ายนายทหารว่า เรื่องนี้มันมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองอยู่ ไม่ใช่ ครม. จะไปล้วงลูกถึงกับจะเข้าไปจัดแจงโผที่ส่งมา มันคงไม่ใช่ ยืนยันว่าการให้ ครม.มีอำนาจในส่วนนี้ จะทำให้ ทหารระดับนายพล แต่ละคนก็จะมีความใกล้ชิดกับฝ่ายบริหาร-ครม.มากขึ้น ทหารจะได้ร่วมรับผิดชอบบ้านเมืองร่วมกับครม.ด้วยเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี ในตอนแรกยังเชื่อว่าร่างกฎหมายฉบับนี้อาจผ่านสภาได้เหมือนกัน หากพรรคเพื่อไทย ร่วมมือกับพรรคประชาชน ที่ก่อนหน้านี้ได้เสนอร่างแก้ไขกฎหมายในลักษณะเดียวกันเข้าสภาไปรออยู่แล้ว เพราะมีเสียงข้างมาก แต่ล่าสุด มีท่าทีชัดเจนจากพรรคภูมิใจไทย ว่าไม่เห็นด้วยกับการเสนอกฎหมายแบบนี้เข้ามา โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีความจำเป็น และป้องกันการรัฐประหารไม่ได้จริง พร้อมกับระบุว่า มาตรการในการป้องกันที่แท้จริงอยู่ที่นักการเมืองต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดขึ้นมา เช่น การทุจริต การใช้อำนาจเกินขอบเขต เป็นต้น อีกทั้งเห็นว่า หากมีการรัฐประหารก็ต้องมีการฉีกรัฐธรรมนูญอยู่ดี

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ว่า เรื่องอื่นยังไม่ได้ดู แต่ถ้าเป็นเรื่องการสกัดการปฏิวัติ ตนไม่เห็นด้วย เพราะถ้าจะสกัดการปฏิวัติ ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เพราะนักการเมือง ก็คือนักการเมืองต้องทำหน้าที่ให้ดี ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รักษาความสงบ และอย่าให้แตกความสามัคคี

“เงื่อนไขการปฏิวัติมีอยู่แค่ไม่กี่เงื่อนไข ส่วนใหญ่ก็มาจากนักการเมืองทั้งนั้น เราก็อย่าไปเข้าเงื่อนไขเหล่านั้น มันก็จะปฏิวัติไม่ได้ ต่อให้ออกกฎหมายอะไรมา ถ้ามีการปฏิวัติ สิ่งแรกที่ทำก็คือ การฉีกรัฐธรรมนูญ ดังนั้นตรงนี้ที่จะทำก็อาจเป็นแค่สัญลักษณ์ บังคับใช้อะไรไม่ได้ ดีที่สุดก็ต้องทำตัวให้ดี ต้องซื่อสัตย์สุจริต อย่าขี้โกง อย่าไปยุแยงให้ใครแตกความสามัคคี อย่าไปลงถนน จนทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยทุกอย่างก็มีอยู่แค่นี้” นายอนุทิน ระบุ

ส่วนถ้าพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคประชาชน ผ่านร่างนี้ในสภานั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ประเด็นนี้ พรรคภูมิใจไทยไม่เอาด้วยอยู่แล้ว ส่วนจะผ่านหรือไม่ ก็เป็นไปตามกระบวนการ ตามระบอบประชาธิปไตย ตามเสียงส่วนมาก

เมื่อถามว่า ร่างจะไปตกในชั้นวุฒิสภา หรือไม่ นายอนุทิน บอกว่า เรื่องนี้ไม่รู้ แต่ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ประเด็นตรงนี้ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าไม่มีความจำเป็น ซึ่งตนอยู่กับการเมืองมานาน เห็นตั้งแต่สมัยปฏิวัติ 23 กุมภา 2534 สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเงื่อนไขการปฏิวัติก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งนั้น ถ้าไม่เข้าใกล้เงื่อนไขนั้น ก็ปฏิวัติไม่ได้

ขณะเดียวกัน ยังมีท่าทีจากฝ่ายวุฒิสภาก็แสดงความไม่เห็นด้วย และเห็นว่าการปฏิวัติรัฐประหาร มันต้องมีสาเหตุ ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา กล่าวถึง กรณี สส.เพื่อไทยเข้าชื่อกันเสนอร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกลาโหม พ.ศ.... ว่า ต้องดูเหตุผลของผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสภาฯ ว่า เขาคิดเพื่ออะไร โดยเท่าที่ฟังดูมีการให้เหตุผลออกมาว่า เป็นการเสนอร่างกฎหมายแก้ไขพ.ร.บ.จัดระเบียบกลาโหม เพื่อจะได้ ป้องกันรัฐประหาร แต่ว่ารัฐประหารที่ผ่านมาก็จะพบว่าหลายครั้งเกิดจากความไม่เรียบร้อยในบ้านเมือง

“การทำรัฐประหาร ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คิดทำกันได้ง่ายๆ สนุกๆ ต้องมีเหตุ มีปัจจัยเกี่ยวกับประเทศชาติ ประชาชนอย่างมาก ถึงจะมีเหตุการณ์แบบนี้ การจะเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว แล้วให้ ฝ่ายการเมือง หรือคณะรัฐมนตรี มามีอำนาจตรงนี้ ก็ต้องไปดูเหตุผล แต่ผมดูแล้ว คิดว่า มันไม่ใช่”

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากท่าทีของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการศึกษา รับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ยังไม่มีข้อสรุปยังไม่ควรคิดไปไกล

นายภูมิธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรอง กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ชั้นที่ประชุมสภากลาโหมแล้ว โดยจะมีข้อคิดเห็น และข้อแนะนำปรับปรุง ฉะนั้นต้องดูเรื่องหลักการและความเป็นจริงว่าจะจัดการอย่างไร เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ดีทุกคนปรารถนาอยู่แล้ว แต่จะเปลี่ยนได้ถึงขนาดไหนอย่างไร ต้องดูข้อเท็จจริงและดูความเห็นจากทุกฝ่ายฝ่าย

ถามว่า เห็นด้วยกับหลักการที่นายประยุทธ์ เสนอหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่อยากพูดคุยไปก่อน ขอฟังทุกอย่างก่อน ส่วนแนวคิดดังกล่าวอาจจะเป็นการลดอำนาจของทหารนั้น ขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะออกมาอย่างไรอย่าเพิ่งไปคิดว่าลดหรือไม่ เพราะไม่มีเจตนาลดอำนาจทหารอยู่แล้ว เพราะมีกฎระเบียบกฎหมายของเขาในการควบคุมดูแลเหมือนพลเรือน ซึ่งหากมีปัญหาต้องแก้ไข

เมื่อพิจารณากันตามนี้เริ่มมองเห็นแล้วว่า ร่างกฎหมายจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชนเสนอเข้าสภา เพื่อเจตนาลดอำนาจกองทัพ และต้องการเข้าแทรกแซงกองทัพ สามารถล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพ นาทีนี้ถือว่าเริ่มไม่ง่าย เพราะเริ่มมีเสียงคัดค้านออกมาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันอาจกลายเป็น “ของร้อน” ชิ้นใหม่กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ อีกทั้งมันไม่อาจป้องกันได้จริง หากนักการเมืองยังสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหาร !!


กำลังโหลดความคิดเห็น