ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ลุงป้อม”ถูกยึดบ้านอัมพวัน เสียที่มั่นกีฬา-การเมือง
พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องส่วนตัว ทำเอา “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีแต่ข่าวในทางลบ อำนาจหด บารมีหาย
ล่าสุดเมื่อสองวันก่อน “ลุงป้อม” ก็โดนยึดเก้าอี้ นายกสมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย อย่างเป็นทางการ โดยเสียให้กับ “พล.ท.บุญชัย เกษตรตระการ” รองจเร กอ.รมน. ที่ถือว่า “โนเนม” ในวงการกีฬา
นั่นเท่ากับว่า“ลุงป้อม” ต้องพ้นจากเก้าอี้ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ ไปโดยปริยาย
เพราะไม่มีคุณสมบัติในการ ลงชิงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ วาระใหม่ ที่จะมีขึ้นในเดือน มี.ค.68 เว้นเสียแต่ว่า “ลุงป้อม” จะได้เป็นนายกสมาคมกีฬา “แห่งประเทศไทย” กีฬาใด กีฬาหนึ่ง ก่อนเดือน มี.ค.68
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ จะมีสมาคมกีฬาใด ให้ “ลุงป้อม” แทรกตัวเข้าไปเป็นนายกฯ
ต้องไม่ลืมว่า รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา คนปัจจุบัน คือ “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับ “ลุงป้อม”... หรืออาจจะพูดได้ว่า เป็นคนรับใบสั่งให้มาเช็กบิลลุง โดยตรง
เพราะตำแหน่ง ประธานโอลิมปิกไทย นั้นเป็นสัญลักษณ์ แห่งอำนาจ และบารมี... ไม่คู่ควรกับฝ่ายค้าน!
ย้อนไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปี 2560 เป็นช่วงที่ “ลุงป้อม” บารมีเบ่งบาน หลังการรัฐประหารในปี 2557 “ลุงป้อม” เป็นรองนายกฯ ควบรมว.กลาโหม ในรัฐบาล คสช. และยังได้เป็นนายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น สมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย โดยมี “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นอุปนายกสมาคมฯ
สองคู่หู “บิ๊กป้อม-บิ๊กน้อย”ร่วมกันวางแผนยึด “บ้านอัมพวัน” ที่ตั้งสำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ ถ.ศรีอยุธยา เยื้องบ้านสี่เสาเทเวศร์เดิม มาอยู่ในการครอบครอง
แล้วในเดือนเมษายน 2560 “พล.อ.ประวิตร” ก็ได้รับเลือกเป็น ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ แทน “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” ที่ประกาศวางมือ หลังจากดำรงตำแหน่งมา 4 สมัย 16 ปี
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2564 ในช่วง “รัฐบาลลุงตู่” ยุคประชาธิปไตย พี่ใหญ่อย่าง “ลุงป้อม” ก็ยังได้รับเลือกเป็นประธาน คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯเป็นสมัยที่ 2
ความยิ่งใหญ่ของ “ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ” นอกจากกำกับดูแล การใช้จ่ายงบประมาณ ของสมาคมกีฬาต่างๆ ที่มีคำว่า “แห่งประเทศไทย” อยู่ด้วยแล้ว การมี “บ้านอัมพวัน” เป็นที่ทำการนั้น ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งบารมีอย่างหนึ่ง
ระยะหลัง “ลุงป้อม” ใช้บ้านอัมพวัน เป็นฐานบัญชาการ ทั้งด้านการกีฬา-การเมือง ไม่ต่างจาก “บ้านป่ารอยต่อฯ” เพราะได้มีการนัดหมาย สส.ต่างพรรคไปเจอกันที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ
เมื่อ“ลุงป้อม”พ้นจากประธานโอลิมปิกไทย บ้านอัมพวัน ย่อมหลุดมือไปด้วย
หาก “ลุงป้อม”คิดจะฮึดสู้ เพื่อรักษาบ้านอัมพวันไว้ ก็มีอยู่ทางเดียว คือการส่ง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ยังมีตำแหน่งเป็น นายกสมาคมกีฬาม้าแข่งแห่งประเทศไทย ลงชิงตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ แทน
แต่ดูสภาพแวดล้อมแล้วคงได้แค่ลงชิง แต่ยากที่จะสำเร็จ
ที่มั่นสุดท้ายของลุงคงเหลือแต่เพียง “บ้านป่าฯ” แห่งเดียวเท่านั้น
++ ไปเจออะไรมา? ทนาย “ฟิล์ม” ขอถอนตัว ไม่สะดวกใจทำคดีต่อ
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง “ฟิล์ม” รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ อดีตดารา-นักร้องชื่อดัง ผู้หันมาเอาดีทางธุรกิจ-การเมือง น่าจะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในวันนี้ (6 ธ.ค.)
หลังถูกออกหมายเรียกในข้อหา พยายามกรรโชกทรัพย์จาก “บอสปัน” ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร แห่ง ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นเงิน 20 ล้านบาท
แต่เมื่อวาน ก็มีข่าวที่ออกมาขโมยซีนล่วงหน้าไปก่อน นั่นคือการถอนตัวของ “ทนายสาคร ศิริชัย” ทนายความของ “ฟิล์ม” ในคดีนี้
ไม่รู้ว่าเป็นเทรนด์ของทนายความในคดีดังๆ ในช่วงนี้หรือเปล่า เมื่อไม่กี่วันก่อน “ทนายปาเกียว” สายหยุด เพ็งบุญชู ก็เพิ่งประกาศถอนตัวจากการว่าความให้ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ในคดีฉ้อโกง “พี่อ้อย” 71 ล้าน ด้วยเหตุที่ว่า ความเห็นไม่ตรงกัน เรื่องแนวทางสู้คดี รับไม่ได้ที่จะให้กลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ แถมยังเสี่ยงคุก เพราะทนายตั้มเอาเอกสารปลอมให้มาใส่ในสำนวนด้วย เหตุฉะนี้ ทนายปาเกียว จึงต้องโบกมือลา
ส่วนเหตุผลที่ “ทนายสาคร” ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความให้ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” นั้นเจ้าตัวก็บอกว่า ไม่มีอะไรขัดแย้งกันเป็นการส่วนตัว แต่ไม่สะดวกใจที่จะทำคดีต่อ โดยได้แจ้งให้ “ฟิล์ม” ทราบตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน แล้ว
แต่ก่อนจะถอนตัว ก็ได้ทำหน้าที่ทนายความไปลงบันทึกประจำวันไว้ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ว่าลูกความคือ “ฟิล์ม” รัฐภูมิ จะไม่หลบหนี และประสงค์จะสู้คดี
ย้อนไปที่คำพูดของ “ทนายสาคร” ที่บอกว่า ไม่สะดวกใจทำคดีต่อ ก็น่าสงสัยว่าไม่สะดวกใจเรื่องอะไร
ผู้รู้ทางกฎหมายให้ทรรศนะว่า หากดูกันตามพยานหลักฐานที่ปรากฏออกมาแล้ว คดีนี้ “ฟิล์ม” น่าจะรอดยาก
โดยเฉพาะคลิปเสียงที่ “ฟิล์ม” และ “เจ๊พัช” กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์” คุยกับ “บอสปัน” เรื่องจะพาไปออก“โหนกระแส” เพื่อสยบข่าวฉาว ของดิไอคอนกรุ๊ป แลกกับการได้เงิน 20 ล้านบาท โดยอ้างชื่อ “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอย ด้วยนั้น
ถึงแม้บางทรรศนะของนักกฎหมาย อาจมองว่า ไม่ถึงขั้นพยายามกรรโชกทรัพย์ตามที่ผู้เสียหายกล่าวหา แต่อย่างน้อยๆ น่าจะไม่รอดข้อหา “พยายามฉ้อโกง”
ย้อนไปตอนที่คลิปหลุดออกมาใหม่ๆ “ฟิล์ม” พยายามแถ-ลงว่า นั่นไม่ใช่กรรโชกทรัพย์นะ เขาแค่“ขายงานพีอาร์” แล้วเขาก็ขายไม่ผ่าน
แล้วคำว่า “ขายงานพีอาร์” นั่นแหละ จะย้อนกลับมามัดตัว เพราะ“หนุ่ม กรรชัย” ยืนยันว่า เขาไม่เกี่ยว ไม่รู้เรื่องด้วย แต่ถูกอ้างชื่อ ความจริงก็เป็นที่รู้กันว่าใครไปออก “โหนกระแส” ไม่ต้องเสียตังค์สักบาท แถมได้ค่ารถกลับบ้านด้วย และเรื่องนี้ “หนุ่ม กรรชัย” ได้แจ้งความดำเนินคดี“ฟิล์ม”ไว้แล้ว
สรุป ก็คือ “งานพีอาร์” ที่ “ฟิล์ม” เอาไปอ้างกับ “บอสปัน” เพื่อแลกกับเงิน 20 ล้านนั้น มันไม่มีอยู่จริง
เมื่อเอาของที่ไม่มีอยู่จริงไปเสนอขาย ถ้าขายสำเร็จ ได้เงินไป แต่ไม่มีของให้ ก็เข้าข่ายฉ้อโกง แต่เมื่อขายไม่สำเร็จ ก็เลยเป็น“พยายามฉ้อโกง” อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
นี่คือเบาะๆ ที่อดีตพระเอกดังจะต้องเจอ
แต่ก็ยังไม่รู้ว่า ทางตำรวจมีพยานหลักฐานเด็ดที่จะมัดตัวในข้อหา “พยายามกรรโชก” อีกหรือไม่ ต้องติดตาม.