“แทนคุณ” นำอดีตผู้ต้องขัง ร้อง “วันนอร์” หลังถูกแก๊งมิจฉาชีพ “นาย ท.” ในเรือนจำกรุงเทพฯ หลอกเรียกเงิน อ้างจะช่วยพ้นคุกเร็วขึ้น มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้าน แฉเป็นกลุ่มอั้งยี่ซ่องโจร 20 คน มี “ทนาย-ผู้คุม” ร่วมขบวนการ แถมถูกตำรวจหลอกซ้ำ ดองคดี 2 ปี
วันนี้ (3 ธ.ค.) ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม นำ นายปัญญา กาลเศรษฐี ผู้เสียหายที่เคยเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เข้ายื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่าน นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบเครือข่ายการทุจริตหลอกลวงเงินผู้เสียหายในเรือนจำ
นายแทนคุณ กล่าวว่า มีกลุ่มมิจฉาชีพชื่อย่อ ท. กับพวก อ้างว่า สามารถโอนเงินแล้วจะช่วยเหลือผู้ต้องขังในเรือนจำได้เร็วขึ้นจนมีผู้หลงเชื่อ เสียค่าถูกหลอกประมาณกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการหลอกลวงคนอื่นๆ รวมแล้ว 86 ล้านบาท ซึ่งอาจจะโยงไปถึงผู้มีอิทธิพลทั้งในและนอกเรือนจำหรือไม่ และที่ผ่านมา จึงได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และดำเนินคดีอาญาไว้ที่ สน.ประชาชื่น แต่คดีไม่มีความคืบหน้ามาเป็นเวลากว่า 2 ปี และยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลอกลงทุนอีก โดยสืบพบว่า นาย ท. มีคดีที่เกี่ยวกับการหลอกลวง 25 คดีและคดีอื่นๆ อีก 60 คดีถือว่าเป็นคดีอาชญากรรมต่อเนื่องเป็นภัยต่อความมั่นคง จึงยื่นให้ประธานสภาฯประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเป็นธรรม ตรวจสอบพยานหลักฐานเพื่อป้องกันการทุจริตเชิงระบบเช่นนี้
ขณะที่ นายปัญญา กล่าวว่า มีหลักฐานทางการเงิน ประมาณ 86 ล้านบาท ที่เรียกเงินในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทั้งหมดมีผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งตนได้รวบรวมผู้เสียหายยื่น 4 หน่วยงาน และมีหนังสือจากกระทรวงยุติธรรมให้ตรวจสอบถึงกรมราชทัณฑ์ และหลังจากที่แจ้งความ สน.ประชาชื่น กลับถูกตำรวจหมกคดีไว้ 2 ปี ไม่มีความคืบหน้าจึงมาขอความเป็นธรรม อยากให้ตำรวจเร่งคดีนี้
นายปัญญา กล่าวถึงพฤติกรรมหลอกลวงในเรือนจำ ว่า มีคนๆ หนึ่ง สามารถเดินไปได้ทุกแดนทุกเช้าหลังเคารพธงชาติ ซึ่งนักโทษคนอื่นไม่สามารถเดินไปได้ และพอตกช่วงบ่ายจะมีผู้ต้องขังใหม่เข้ามา ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้ต้องขังเข้ามาใหม่หลายพันคน บุคคลดังกล่าวเข้าไปตีสนิท ล้วงข้อมูลใช้เวลา 3 เดือน และเลือกคนที่มีฐานะ ซึ่งการกระทำมีลักษณะเป็นมืออาชีพ จะสอบถามเรื่องทรัพย์สิน รวมถึงเรื่องญาติทั้งหมด และจะบอกว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์ช่วยให้สามารถเดินไปได้ทุกวัน มีรัฐมนตรีหลายคนและผู้มีอำนาจช่วย ทำดูเหมือนมีความน่าเชื่อถือ โดยบุคคลนี้จะบอกว่าให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลรวมทั้งเรื่องพักโทษ
“คนนี้สามารถเดินไปห้องทนายความใช้โทรศัพท์ได้ไม่จำกัดเวลา ขณะที่คนอื่นใช้ได้ 20 นาที ส่วนคนที่มาเยี่ยมก็ไม่เคยแลกบัตร ค่าไปโรงพยาบาล เรียก 5 ล้านบาท หากเราไม่สามารถโอนได้ เขาจะให้เขียนจดหมายไปบอกญาติให้โอน และขอเบอร์ญาติ โดยมีผู้คุมช่วย เชื่อมั่นว่ามีการหลอกลวงคน 200-300 คน ไม่ต่ำกว่า 500 ครั้ง มีหลักฐานรวบรวมไว้ จนได้คุยกับปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งรองปลัดรับเรื่องเพราะมีเอกสารชัดเจน และทำหนังสือตรวจสอบไปถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ช่วงต้นปี 2566 เช่นเดียวกับกระทรวงดีอี ที่ออกหนังสือเพื่อตรวจสอบ เราร้อง ป.ป.ช. ได้ทำหนังสือไปสน.ประชาชื่น เพื่อถามว่าทำไมไม่ดำเนินคดีเพราะมีการหลอกเงินจำนวนมากแต่กลับถูกหลอกลงทุนไป 9 ล้านบาทมีตำรวจอ้างเป็นสารวัตรหลอกลวงเงินไปอีก 3.2 ล้าน และเมื่อขอทำเรื่องย้ายไปกองปราบก็ถูกดองไม่มีความคืบหน้าจึงมาขอความช่วยเหลือ” นายปัญญา กล่าว
นายปัญญา กล่าวว่า ตนพร้อมผู้เสียหายคนอื่นได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดนนทบุรี พบข้อมูลว่าตัวผู้ที่ดำเนินการมี 25 คดีทั้งกลุ่มมี 60 คดี และมีกลุ่มทนายความที่ช่วยเหลือ แก้ไขคดีอาญาให้เป็นแพ่ง ได้ทั้งหมด 60 คดี ซึ่งถือเป็นช่องโหว่ทางกฎหมาย ด้วยการติดสินบนเจ้าพนักงานทำให้ติดคุกเพียง 1 คดี พร้อมยกตัวอย่าง เมื่อมีการดำเนินคดีและต้องจ่ายจากยอด 25 ล้านบาท แต่ไม่มีเงินจ่ายสุดท้ายศาลให้ผ่อนเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งจะเห็นว่าหลอกทั้งคนในและคนนอก ทีมเขามีประมาณ 20 คน ไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทุกวัน ดังนั้น ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่ช่วยจะไม่สามารถเอาเบอร์ญาติออกไปได้เลย และเมื่อทวงถามก็ถูกกรรโชกทรัพย์อ้างว่าเป็นตำรวจจะยิง หากยังทวงถามอีก ซึ่งมีหลักฐานเป็นแชตไลน์ ซึ่งคาดว่าเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยากให้ตำรวจเร่งดำเนินการเรื่องนี้ ทั้งนี้ ส่วนตัวไปที่ศาลปทุมธานีอีสานพบว่าบุคคลดังกล่าวมีคดีอาวุธปืน กรรโชกโชคทรัพย์ รวมทั้งกลุ่มน่าจะเป็นอั้งยี่ซ่องโจรแต่มีความรู้ด้านกฎหมายจึงไปยื่นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการ
นายปัญญา กล่าวอีกว่า รวมผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 20 ครอบครัว มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท เพราะแค่ของตน 5 ครอบครัวมูลค่า 86 ล้านบาท ยังมีการเรียกรับเงินแรกเข้า 200-300 คน ค่าใช้จ่ายค่าดูแลคนละ 50,000-100,000 บาท และมีหลักฐานการเงินเข้า 15 บัญชี เมื่อได้เงินแล้วก็จะถ่ายเงินโอนออก หลังจากนี้จะนำผู้เสียหายอีกกว่า 10 ครอบครัวมาเปิดเผยข้อเท็จจริง
“ผมทำหมู่บ้านถูกกลั่นแกล้งจนติดคุก ออกมาต่อสู้จนชนะ 3 คดีเหลือ 1 คดี ไม่คาดฝันว่าจะเจอกับมิจฉาชีพที่เป็นมืออาชีพโดยใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย จึงอยากฝากไปยัง รอง ผบ.ตร. ที่ได้ยื่นเอกสารไปให้ช่วยพิจารณาดู และเร่งดำเนินการเป็นการด่วน เพราะมีหลักฐานครบถ้วน” นายปัญญา กล่าว
ด้าน นายคัมภีร์ กล่าวว่า จะนำเรื่องเสนอประธานสภา เพื่อดำเนินการส่งเรื่องไปยังคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบการดำเนินการในส่วนที่ล่าช้า และคืนความเป็นอิสระให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งในเรื่องทรัพย์สินและเรื่องของการที่จะต้องไปถูกจองจำในทัณฑสถาน