xs
xsm
sm
md
lg

สะพัด! อนุฯ ป.ป.ช.ไม่ชี้มูล “โจ๊ก” คดีเว็บพนันมินนี่ ให้ “คริษฐ์” ผิดคนเดียว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวสะพัด อนุฯ ไต่สวนคดีเว็บพนัน “มินนี่” มีมติไม่ชี้มูลความผิด “โจ๊ก” เตรียมเสนอให้ยุติเรื่อง แต่ให้ชี้มูล “รองฯ คริษฐ์” เพียงคนเดียว จับตา “เอกวิทย์” ประธานอนุฯ จะชี้แจง ป.ป.ช.ชุดใหญ่อย่างไร เพราะในสำนวนของตำรวจ บก.ปปป.ชี้ชัดเงินจากบัญชีม้าโยงถึง “โจ๊ก” แถม ปปง.เสนออัยการอายัดเงินแล้ว ชี้ หาก ป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติคล้อยตาม ส่งผลสะเทือนแน่ เพราะยังมีคดี “โจ๊ก” ในมือ ป.ป.ช.อีกหลายคดี โดยมีคนของ “โจ๊ก” แฝงอยู่ ขณะคนข้างในวิจารณ์แซดเหตุใดไม่เปลี่ยนกรรมการเจ้าของสำนวนและสำนักไต่สวน เพื่อลบข้อครหา ป.ป.ช.ไม่โปร่งใส

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะอนุกรรมการไต่สวนคดีเว็บพนันมินนี่ ที่มี นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช.ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการ พิจารณาสำนวนที่สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐและการรัฐวิสาหกิจ 1 นำเสนอให้คณะอนุกรรมการ ลงมติ หลังจากวันที่ 4 มี.ค. 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมี พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ในขณะนั้นทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยที่ประชุมมีมติ 4 ต่อ 1 เสียง ให้ สำนักงาน ป.ป.ช.รับสำนวนคดีกล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.กับพวกอีก 5 ราย มีส่วนเกี่ยวพันกับคดีเว็บพนันออนไลน์ ”มินนี่” ไว้ดำเนินการไต่สวนตามขั้นตอนทางกฎหมาย ตามที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ส่งเรื่องมาให้สำนักงาน ป.ป.ช.ดำเนินการ (ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 61)

แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.ระบุว่า ที่ผ่านมา สื่อมวลชนเสนอข่าวเรื่องสำนวนของตำรวจ บก.ปปป.1,420 หน้า ซึ่งส่งให้สำนักงาน ป.ป.ช.พิจารณาลงโทษบุคคลในสำนักงาน ป.ป.ช. โดยระบุว่าบุคลากรและคนใกล้ชิดของสำนักงาน ป.ป.ช.หลายคน ร่วมรับตั๋วเครื่องบินที่ชำระจากบัญชีม้าที่ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ นายตำรวจคนใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ใช้ชำระค่าตั๋วเครื่องบินให้ไป จ.สงขลา เพื่อไปจัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ โดยหนึ่งในนั้นคือนายสมบัติ ธรธรรม อดีตอนุกรรมการกลั่นกรองตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ประจำสำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาครัฐและการรัฐวิสาหกิจ 1 (กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) และอดีตที่ปรึกษากรรรมการ ป.ป.ช.หลายสมัย โดยพบว่าในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายสมบัติได้ทำหนังสือถึงนายเอกวิทย์เพื่อยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งอนุกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ (นายสมบัติสังกัดนายเอกวิทย์) ซึ่งมีใจความว่า ขอลาออกและให้มีผลวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา

“โดยมีกระแสข่าวช่วงนี้ว่า คณะอนุกรรมการอาจจะเสนอความเห็นให้ยุติเรื่อง และทราบว่า หากมติอนุกรรมการที่เสนอยุติเรื่องนี้ จะชี้มูลเพียงว่า พ.ต.ท.คริษฐ์ มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดโดยลำพัง และไม่มีส่วนเชื่อมโยงไปยัง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่สำนวน บก.ปปป.1,420 หน้าชี้มูลว่า นายสมบัติ และพวกร่วมกระทำผิดหลายวาระกับ พ.ต.ท.คริษฐ์ ในการตบแต่งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ และภรรยา หลายวาระ โดย บก.ปปป.ยังระบุว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ พ.ต.ท.คริษฐ์ และนายสมบัติ ติดต่อกันเป็นระยะในเรื่องนี้ และยังพบว่า พ.ต.ท.คริษฐ์ ยังรับเงินและจ่ายเงินจากบัญชีม้าจำนวนมากไปชำระค่าใช้จ่ายให้ครอบครัวของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หลายครั้ง โดยที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ รับรู้ แต่น่าสังเกตว่า นายสมบัติที่ถูกกล่าวหานั้นมีความใกล้ชิดนายเอกวิทย์ แต่เหตุใดสำนักงาน ป.ป.ช.ยังมอบให้นายเอกวิทย์กำกับดูแลสำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐฯ 1 ที่ต้องพิจารณาสำนวนของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กับพวก รวมทั้งยังไม่มีความคืบหน้าการชี้มูลความผิดกับบุคลากรของสำนักงาน ป.ป.ช.ที่ถูก บก.ปปป.ชี้มูลว่ากระทำผิด” แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.กล่าว

พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ
แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.กล่าวว่า หากอนุกรรมการชี้มูลตามกระแสข่าวนี้ก่อนจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป ช.พิจารณาในลำดับต่อไป และหากคณะกรรมการ ป ป ช.มีมติเห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอขึ้นมา สำนักงาน ป.ป.ช.ต้องคืนสำนวนนี้ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปดำเนินการ

แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป ช.แจ้งว่า ดังนั้น ต้องพิจารณาและติดตามว่านายเอกวิทย์จะชี้แจงกับที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.อย่างไร ตามที่คณะอนุกรรมการเสนอให้ยุติเรื่อง เพราะตอนนี้ผู้ต้องหาในคดีมินนี่นั้น สำนักงานอัยการสูงสุดมีการสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปแล้วหลายราย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ยึดทรัพย์สิน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ และภรรยา จากการกระทำผิดมูลฐานเกี่ยวกับการจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และความผิดฐานฟอกเงิน ตกเป็นของเเผ่นดิน ในส่วนที่เกี่ยวพันกับเว็บพนันออนไลน์วงเงิน 4.8 แสนบาท โดยเงินดังกล่าวเป็นเงินที่มีการนำเงินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน ไปชำระเบี้ยประกันชีวิตบางส่วน ตามสัญญาประกันชีวิตของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ และภรรยา ต่อมาผู้เอาประกันได้เวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิต รวม 3 รายการ มูลค่า 4.8 แสนบาท

“ซึ่งเป็นการยืนยันชั้นต้นแล้วว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มีการรับเงิน ฟอกเงินจากเว็บพนันออนไลน์ตามเส้นทางการเงิน พยานหลักฐานและการวินิจฉัยของสำนักงาน ปปง.ที่เสนอยึดทรัพย์ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์และภรรยา หากคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ สำนักงาน ป.ป.ช.จะเสนอให้ยุติเรื่องที่กล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.จริงนั้น จะต้องชี้แจงให้ได้ว่าทำไมมีมติแบบนั้น เพราะกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างน้อย(นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข)เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 เสนอว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี เพราะคดีนี้เกี่ยวกับการฟอกเงิน ตรงนี้จะเกิดความขัดแย้งกันเองในการวินิจฉัยของสำนักงาน ป.ป.ช.และอาจเกิดช่องว่างที่บางฝ่ายอาจนำไปฟ้องร้องสำนักงาน ป.ป.ช.ได้ว่าอาจผิดมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา”


แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.แจ้งว่า หากเป็นไปตามนั้นจริง อาจส่งผลกับการพิจารณาสำนวนต่างๆ ที่กล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์กับพวก ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช.กำลังพิจารณา และอาจเกิดข้อขัดแย้งระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช.กับสำนักตำรวจแห่งชาติ เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า คดีนี้มีการแจ้งข้อกล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กับพวกว่าฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งตามกฎหมายแล้ว หากพบพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นไปตามข้อกล่าวหา สำนักงาน ป.ป.ช.ต้องส่งสำนวนนี้ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปดำเนินการ เนื่องจากกฎหมายระบุว่าหากการกระทำผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินนั้น สำนักงาน ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจหน้าที่พิจารณา

แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.แจ้งว่า ช่วงนั้นพบว่า นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ช.ในขณะนั้นให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 4 ต่อ 1 เสียงให้รับสำนวนนี้ไว้พิจารณา โดยอ้างว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางราชการกระทำผิด ดังนั้น จึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช.ที่จะรับสำนวนนี้ไว้ดำเนินการ

แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช.กล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกต ว่า หากอนุกรรมการชุดของนายเอกวิทย์ พิจารณาว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ไม่มีความผิด เพราะ พ.ต.ท.คริษฐ์ รับผิดแทนแล้ว ข้อกล่าวหาอื่นๆ เช่น รับเงินเกิน 3,000 บาท หรือ ร่วมฟอกเงิน จะทำอย่างไร เเละยังมีเรื่องการปกปิดบัญชีทรัพย์สินฯ การแจ้งข้อมูลเท็จต่อสำนักงาน ป.ป.ช.รวมไปถึงกรณีร่ำรวยผิดปกติจากทรัพย์ที่ได้มา จะดำเนินการอย่างไร เพราะบุคลากรในสำนักงาน ป.ป.ช.วิจารณ์ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ ทำไมไม่ดำเนินการ เปลี่ยนกรรมการ ป.ป.ช.เจ้าของสำนวนและเปลี่ยนสำนักไต่สวน เพื่อให้สิ้นข้อครหา และ ข้อสงสัยของประชาชนทั่วไปว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ทำงานโปร่งใส

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากกระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นจริง จะเกิดปัญหาในการดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ อีกหลายวาระ หากสำนักงาน ป.ป.ช.มีมติให้ยุติเรื่องดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ อาจจะฟ้องร้องนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร.รวมทั้ง ผบ.ตร.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก.ตร. และ กพค.ตร. รวมทั้งภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่มีมติให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อน หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรับสำนวนไว้พิจารณาอย่างไม่เป็นธรรมและไม่มีอำนาจหน้าที่กับคดีต่างๆ ตามที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ตกเป็นผู้ต้องหา ผู้ถูกกล่าวหา ผู้ฟ้องคดี ตรงนี้อาจจะมีผลกระทบอย่างแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เร็วๆ นี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.จะลงนามแต่งตั้งรองผบ.ตร.คนหนึ่งมาปฏิบัติหน้าที่ประธานคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมพวก รวม 5 คน ว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกออกจากราชการไว้ก่อนแทน พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช อดีตรอง ผบ.ตร.และอดีตปรานคณะกรรมการฯ ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไปให้เสร็จสิ้นว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์และพวก กระทำผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ หากผลการสอบสวนพบว่ากระทำผิดร้ายแรง บทลงโทษคือไล่ออกหรือปลดออกจากราชการทันที


กำลังโหลดความคิดเห็น