แกนนำ ชทพ. ยัน พ.ร.บ.ประชามติ ไม่ใช่ กม.การเงิน ชี้ หากเป็นต้องเป็นตั้งแต่ปี 64 แล้ว เหตุเงิน 3 พัน ล.ที่ใช้ทำประชามติ เป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว หากทักท้วงตอนนี้ ถือว่าสายเกินไป หวั่น หากให้ ปธ.กมธ.ทุกคณะ ร่วมตัดสินกับ ปธ.สภา อาจผิด รธน.ได้
วันนี้ (25 พ.ย.) นายนิกร จำนง ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่า กฎหมายประชามติเป็นกฎหมายการเงิน เพื่อลดเวลาพักร่างกฎหมาย 180 วัน ว่า ตนเชื่อว่า ร่างกฎหมายประชามติไม่เป็นกฎหมายการเงิน เพราะการสงสัยว่าเป็นกฎหมายการเงินหรือไม่ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทั้ง 4 ฉบับที่เสนอเข้ามา ตนตรวจสอบดูแล้ว ประธานสภาลงนามชี้ไปแล้วว่า ไม่เป็นกฎหมายการเงิน ซึ่งหลักการในการพิจารณา ตามข้อบังคับการประชุมสภา หากสมมติว่า มีใครสงสัย หรือประธานมองเห็นเองว่าเป็นกฎหมายการเงิน ก็จะชี้ว่าเป็นกฎหมายการเงิน และเมื่อประธานชี้ว่าเป็นกฎหมายการเงิน ผู้ที่ยื่นอาจจะมีข้อสงสัยว่าไม่เป็นกฎหมายการเงิน เมื่อไม่เป็นตามกลไกของสภา หากตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องเชิญประธานกรรมาธิการทุกคณะมาตัดสิน ร่วมกับประธานสภา แต่ขั้นตอนตรงนั้นมันเลยมาแล้ว และในระหว่างที่เราพิจารณาอาจจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง จากไม่เป็น พ.ร.บ.การเงิน ก็กลายเป็น พ.ร.บ.การเงินขึ้นมา ก่อนจะโหวตวาระ 3 มีข้อสงสัยก็สามารถทำได้อีกครั้งหนึ่ง แต่สภาโหวตวาระ 3 ไปแล้ว ซึ่งไม่มีข้อสงสัย จึงถือว่าเลยจุดนั้นมาแล้ว และเป็นร่างกฎหมายที่พิจารณาเห็นชอบกันหมดแล้ว โดยไม่มีใครชี้ว่าเป็น พ.ร.บ.การเงิน
“จริงๆ แล้วมันไม่เป็น พ.ร.บ.การเงิน และตอนที่เราทำกฎหมายนี้ เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องใช้เงิน จำนวน 3 พันกว่าล้านบาท ซึ่งถือว่ารู้อยู่ก่อนแล้ว แล้วมาแก้ว่าจะเอาสัดส่วนเกณฑ์ออกเสียงประชามติ 2 ชั้น หรือ 1 ชั้น เท่านั้นเอง และถ้าเป็น พ.ร.บ.การเงิน ก็เป็นตั้งแต่ปี 64 แล้ว ไม่ใช่มาเป็น พ.ร.บ.การเงินตอนนี้ เพราะเราแก้เพียงบางมาตรา และเมื่อเสร็จสิ้นชั้นสภาไปแล้ว” นายนิกร กล่าว
นายนิกร กล่าวต่อว่า ตอนที่เสนอไปวุฒิสภา ประธานสภายืนยันไปยังประธานวุฒิสภา ว่า ไม่ใช่ พ.ร.บ.การเงิน ซึ่งประธานวุฒิสภาก็นำเข้าพิจารณาในชั้นนั้น อาจจะมีข้อสงสัยได้ แต่ก็ไม่มีข้อสงสัยเพราะไม่ใช่ พ.ร.บ.การเงิน เมื่อถึงตอนนี้ถือว่าเลยเวลาข้อสงสัยมาแล้ว ซึ่งในความเห็นส่วนตัว ถ้าเราไปเชิญประธานกรรมาธิการทุกคณะมาร่วมกันพิจารณาแล้วใช้เสียงข้างมาก อาจจะผิดรัฐธรรมนูญได้ เพราะไม่เป็น พ.ร.บ.การเงิน หรือแม้จะเป็นก็เลยเวลาที่จะทักท้วงไป ซึ่งถือว่าสายไปแล้ว
นายนิกร กล่าวว่า ตนมีความเป็นห่วง เพราะอยากให้ พ.ร.บ.ประชามติ ออกมาเร็ว จริงๆ แล้วไม่อยากให้ชะลอแม้แต่วันเดียว ถ้าเป็นแบบนี้ให้ไปตามเส้นทางดีกว่า เพราะถ้ามีปัญหาก็จะบวกอีก 180 วัน และไม่ใช่แค่นั้น เมื่อ 180 วันแล้ว ขั้นตอนการเสนอทูลเกล้าฯ ขั้นตอนการทำกฎหมายลูกของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อีก ต่อจากนั้นต้องใช้เวลาประมาณ 100 วัน ในการทำประชามติครั้งแรก ตนจึงประเมินว่าน่าจะทำประชามติต้นเดือน ม.ค. ปี 69 เท่ากับเราหายไป 1 ปี ซึ่งตนไม่ได้ชอบแบบนี้ ถ้าแต่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายแม้ไม่ชอบตนก็ต้องยอมรับสภาพ
เมื่อถามว่า แสดงว่า มีโอกาสที่จะไปไกลกว่านี้ใช่หรือไม่ นายนิกร กล่าวว่า ตนเชื่อว่า การทำประชามติครั้งแรกอย่างไรก็ผ่านเพราะใช้รูปแบบอย่างง่ายของ สส. ก็จะไปลงประชามติปลายปี 68 หรือต้นปี 69 แต่น่าจะเป็นต้นปี 69 มากกว่า ไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อพักร่างไว้ 180 วัน บวกกับทำประชามติอีก 3 เดือน รวมเป็น 9 เดือน ฉะนั้น รวมช่วงรอยต่อและการเสนอทูลเกล้าฯ ก็ใช้เวลาพอสมควร ก็เชื่อว่าใช้เวลา 1 ปี พอดี