เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าไม่คาดหมายกับความรู้สึก ความเชื่อของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ระบุว่า “ไม่เชื่อมั่น” หรือวิตกกังวลกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และยังไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาปากท้องได้ รวมทั้งยังมองไม่เห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างไรก็ดีแม้ว่าตอนนี้ยังไม่อาจสรุปอะไรได้ แต่อย่างน้อยมันก็ท้อนออกมาจากความรู้สึกที่มีแนวโน้มเป็นลบมากกว่าบวก
ผลสำรวจของ “สวนดุสิตโพล” ล่าสุดเผยแพร่เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน เรื่อง “รัฐบาลแพทองธาร กับ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2567 พบว่า กลุ่มตัวอย่างกังวลว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลแพทองธารอาจก่อให้เกิดภาระหนี้สาธารณะ ร้อยละ 54.80 ซึ่งจากมาตรการต่าง ๆ ก็พึงพอใจมาตรการส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้นถ้วนหน้ามากที่สุดร้อยละ 55.78 และเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ร้อยละ 53.87 โดยคิดว่านโยบายแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 อาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง ร้อยละ 43.44 แต่ยังไม่เห็นแนวโน้มว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ร้อยละ 45.31 ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องลดค่าครองชีพ ควบคุมราคาสินค้ามากที่สุด ร้อยละ 60.98
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากผลสำรวจสะท้อนความเห็นที่แตกต่างกันในสังคม ต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะเชื่อมั่นแต่ก็ยังไม่แน่ใจในนโยบายเฉพาะหน้า และมีความกังวลต่อความมั่นคงทางการเงินของประเทศ ด้านมุมมองต่อสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็ยังไม่เห็นแนวโน้มว่าจะดีขึ้นในอนาคตอันใกล้ เรียกว่า “ชอบเงินหมื่นแต่ไม่รู้เศรษฐกิจจะฟื้นเมื่อไหร่” ทั้งนี้ ต้องการให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเรื่องปากท้องโดยเร่งด่วน
ดร.งามประวัณ เอ้สมนึก อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง อธิบายว่า เมื่อพิจารณาจากผลโพล แม้ว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลแพทองธารในภาพรวม แต่ประชาชนยังมีความกังวลเรื่องปัญหาค่าครองชีพและการควบคุมราคาสินค้าในปัจจุบัน และต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนมากที่สุด การที่รัฐบาลได้ดำเนินการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 1 ไปแล้วนั้น แต่บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยก็ยังไม่กลับมาคึกคักมากนัก ทำให้ประชาชนคิดว่านโยบายแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 อาจจะพอช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้างเท่านั้น และยังไม่เห็นแนวโน้มว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น อีกทั้งประชาชนยังมีความกังวลว่าแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจเป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะด้วย
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่งมีความเห็นชอบ 5 แผนขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และระยะยาว โดยมุ่งหวังให้มีการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย แก้ปัญหาหนี้สิน และกระตุ้นการลงทุน ซึ่งจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ตรงจุดตรงประเด็นหรือไม่เพียงใดคงต้องรอดูกันต่อไป
แน่นอนว่าผลสะท้อนความรู้สึกของชาวบ้านผ่านผลสำรวจดังกล่าว ย่ออมเป็นข่าวไม่ดีนักสำหรับรัฐบาล โดยเฉพาะกับพรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำรัฐบาล เพราะอย่างที่รู้กันว่า พรรคนี้มัก “เคลม” อยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพด้านเศรษฐกิจ เข้าใจปัญหา และสามารถแก้ปัญหาได้ดี และเวลาที่ผ่านมาก็สร้างความมั่นใจมาตลอด
อย่างไรก็ดี การกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้งของพรรคเพื่อไทย ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะนับตั้งแต่ในยุคที่ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่อง “ปากท้อง” ค่าครองชีพ ล้วนเป็นปัญหาหนักที่ยังไม่อาจแก้ไขได้ มิหนำซ้ำยังเลวร้ายกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่องปัญหา “หนี้สิน” ที่เป็นหนี้ครัวเรือน รวมไปถึงหนี้สาธารณะ ที่เป็นปัญหาของรัฐบาลโดยตรง ทุกอย่างมีแต่พุ่งพรวดจนแทบทะลุเพดานไปแล้ว
ขณะเดียวกันหากพิจารณาจากอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านที่สะท้อนผ่านผลสำรวจดังกล่าว ในทำนองไม่เชื่อมั่น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากผลงานที่เห็นกันอยู่ตรงหน้าว่ามัน “ไม่สมราคาคุย” และที่สำคัญ ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป ไม่สามารถโบ้ยกล่าวโทษคนอื่นได้อีกแล้ว
ที่ผ่านมาอาจอ้างถึงผลลบจากการรัฐประหาร อ้างเผด็จการ สารพัด แต่มาวันนี้เมื่อตัวเองเข้ามาเป็นรัฐบาลเต็มรูปแบบ และบริหารงานผ่านมานานเป็นปีแล้ว แต่กลับไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะเรื่องปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจชาวบ้านไม่ดีขึ้นเลย
แม้กระทั่งผลงานที่คิดว่าเป็น “ชิ้นโบแดง” อย่าง “แจกเงินดิจิทัล” หมื่นบาท ที่ออกมาเฟสแรก ก็ไม่ตรงปกไม่เป็นตามที่สัญญาเอาไว้ กลายเป็น “แจกเงินสด” จนหมดสภาพของ “เงินดิจิทัล” ไปอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันผลที่ออกมาก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จากที่ตอนแรกมั่นใจว่าการแจกเงินดังกล่าว จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างขนานใหญ่ หรือที่เรียกว่าจะสร้าง ”พายุหมุน” ได้ถึง 4 รอบ แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่าเป็นแค่ “หย่อมความกดอากาศต่ำ” เท่านั้น จนทำให้เกิดเสียงเย้ยหยันตามมา
เพราะสำรวจความเห็นของชาวบ้าน นอกเหนือจากกลุ่มเปราะบางที่ได้รับแจกเงินแล้ว ส่วนที่เหลืออื่นๆ ล้วนมีความรู้สึกเป็นตรงกันข้าม เช่น กลุ่มแม่ค้าในตลาด ต่างบอกว่า ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะบรรยากาศยังเงียบ ไม่คึกคักอย่างที่คาดเอาไว้
ขณะเดียวกันยังอีกหลายนโยบายหลักที่ยังไม่เป็นไปตามที่สัญญาเอาไว้เมื่อตอนหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ รายได้ปริญญาตรี ล้วนไม่มีความคืบหน้า หรือแม้แต่นโยบาย “แจกเงิน” ที่เป็นที่พูดถึงกันมากที่สุด กลับผิดเป้าหมายไปมาก ปัญหาสำคัญเท่าที่เห็นก็คือ “ไม่เงิน” นั่นเอง จนเกิดเสียงวิจารณ์ว่า เป็นนโยบายไม่รอบคอบ หาเสียงแบบไม่รับผิดชอบ และล่าสุดแม้ว่าจะบอกว่าจะมีการ “แจกเฟส 2” ภายในตรุษจีนหรือราวปลายเดือนมกราคมปีหน้า ให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 3-4 ล้านคน ใช้งบประมาณราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจำนวนที่ถือว่าน้อยนิด ถือว่าไม่น่ากระตุ้นเศรษฐกิจอะไรได้มากนัก เพราะขนาดเฟสแรกที่ใช้เงินกับกลุ่มเปราะบางใช้งบประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ผลออกมายัง “เบาบาง” มาก ดังนั้นด้วยงบแค่ 4 หมื่นล้านบาท ก็คงไม่มีผลทางเศรษฐกิจมากนัก
แต่ก็พอเข้าใจได้ไม่ยากว่าการแจกเงินดังกล่าวเป็นเพียงการ “หาเสียงล่วงหน้า” ตามนโยบายประชานิยม ไม่ว่าจะหวังผลในเรื่องการหาเสียงเฉพาะหน้าในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทั้งที่กำลังเกิดขึ้น และทั่วประเทศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีหน้า
ดังนั้นด้วยผลงานที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้า ที่ “ไม่ตรงปก” ไม่ว่าจะเป็นจากนโยบายที่ยังไม่เข้าตาในทุกเรื่อง ตั้งแต่ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง ยาเสพติดที่เคยคุยโม้ว่าตัวเองมีความเชี่ยวชาญ แต่ผลที่ออกมายังไม่อาจสร้างความมั่นใจสักเรื่อง แม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นลูกสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร ส่งเข้าประกวด ก็ยังไม่มีความโดดเด่นพอ ทำให้น่าเป็นห่วงเหมือนกันว่า หากชาวบ้านยังไม่มีความเชื่อมั่น โดยเฉพาะเรื่อง “ปากท้อง” แล้วจะไปต่ออย่างไร !!