เมืองไทย 360 องศา
ภาพการทุ่มทุนสร้างของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เรียกว่าเป็นเจ้าของรัฐบาล และเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง นำคณะชุดใหญ่ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นแค่สนามเลือกตั้งท้องถิ่น และยังเห็นภาพว่า เขาได้เปิดศึกกับ “พรรคส้ม” คือ พรรคประชาชน ที่นำทีมโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานี้รับบทเป็นประธานก้าวหน้า และดูเหมือนกำลัง “ฟัดกันรุนแรง” แบบเลือดตกยางออก ทีเดียว
แต่หากพิจารณากันตามสถานการณ์จริงแล้ว นี่คือแค่ “บทละคร” ที่ต่างฝ่ายต่างเล่นกันไปตามบทบาทของตัวเอง และต้องให้ “สมจริง” อีกด้วย และแม้ว่าเวลานี้ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต้องฟาดฟันกันดุเดือด แต่เป็นเพราะสถานการณ์มันพาไป อีกทั้งเมื่อเดินเข้าสู่เส้นทางแคบ มันก็ต้องเผชิญหน้าเลี่ยงกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่รับรองว่าในที่สุดแล้วพวกเขาไม่มีทางแตกหักกันอย่างแน่นอน เพราะทั้งคู่มี “รากเหง้า” เดียวกัน ตัดกันไม่ขาดอยู่แล้ว
ที่ต้องบอกว่า ทั้งสองฝ่าย เล่นไปตามบท เนื่องจากหากมองกันในทางการเมืองแล้ว เวลานี้ทั้งสองพรรคคือ เพื่อไทยกับพรรคประชาชน ถือว่าเป็น “คู่แข่ง” กันอย่างชัดเจน ซึ่งก็เห็นกันอยู่แล้ว และยังมีผลต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า แต่ก็นั่นแหละมันก็ต่างบทบาท ส่วนใครจะชนะหรือแพ้ค่อยมาว่ากันทีหลัง
อย่างไรก็ดีหากโฟกัสมาที่ นายทักษิณ ชินวัตร กันก่อน เพราะเวลานี้ถือว่าเขากำลังทุ่มสุดตัว ระดมทุกสรรพกำลังเท่าที่มี รวมไปถึง ยัง “บากหน้า” ง้องอนขอคืนดีกับมวลชนเก่าๆ ที่ห่างหายไปพักใหญ่อย่าง “คนเสื้อแดง” ในเวลานี้
แต่ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตรในครั้งนี้ มันก็เหมือนการดิ้นรนครั้งใหญ่ เพื่อเรียกทุกอย่างคืนมา หลังจากที่ผ่านมาทุกอย่างถดถอย ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะอย่างที่รู้กันตั้งแต่ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่พรรคเพื่อไทย ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคประชาชน (ก้าวไกล) พวกเขาก็สูญเสียอำนาจการต่อรองลงไปมาก รวมไปถึงการ “ข้ามขั้ว” มาจัดตั้งรัฐบาล ทำให้สูญเสียมวลชนลงไปมาก
ซึ่งส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุมาจากความเคลื่อนไหว และท่าทีรวมทั้งพฤติกรรมส่วนตัวของเขานั่นแหละ เช่น เรื่อง “เทวดาชั้น14” ที่แม้ว่าจะทำให้ดูมีอิทธิพลเหนือทุกองค์กร แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้เขาเสียเครดิต ถูกมองเป็น อภิสิทธิ์ชน อยู่เหนือคนอื่น กลายเป็นภาพลบ
หรือแม้แต่การผลักดันลูกสาวของตัวเอง คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าสำหรับพวกเขา ถือว่ามีความจำเป็นทางการเมือง แต่กลายเป็นว่า ผลงานที่ออกมามัน “ไม่เข้าตา” อย่างที่คาดหวังเอาไว้ ทุกอย่างยังดูพื้นๆ หรือแย่ลงกว่าเดิม
อย่างไรก็ดีเมื่อวกกลับมาที่การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ที่นายทักษิณ ชินวัตร นำทีมชุดใหญ่ลงมา เป้าหมายสำคัญคือ การมาฟื้นคืนดีกับ “คนเสื้อแดง” ที่นั่น หลังจากห่างหายกันไป มองจากเท่าที่เห็นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อย่างน้อยก็ยังมีคนรู้ทัน และคอยดักคอจนเห็นภาพ โดยเฉพาะคนที่เคยอยู่ในวงใน อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำ นปช. หรือคนเสื้อแดง ที่เวลานี้กำลังเปิดโปงเขาอย่างดุเดือด และกลายเป็นว่าคำพูดของเขา หากเกี่ยวข้องกับ นายทักษิณ และคนในพรรคเพื่อไทย จะมีน้ำหนัก สร้างแรงสั่นสะเทือนไม่เบา
ล่าสุด นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ประเมินว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี เป็นเพียงทางผ่านของทักษิณ ที่จะใช้เวทีปราศรัยก่อสงครามการเมืองกับพรรคประชาชน ซึ่งไม่กล้ารุกไล่พรรคเพื่อไทย ที่ตระบัดสัตย์ ไม่ทำตามคำพูดที่หาเสียงไว้กับประชาชน และที่สำคัญไม่กล้าขยี้ กรณีชั้น 14 การถวายฎีกาสารภาพความผิดกับพระเจ้าแผ่นดิน แต่ไม่ยอมติดคุกสักวัน ขณะที่คนเสื้อแดงอุดร และมุกดาหาร ต่อสู้เรียกร้องจนถูกจับติดคุก
“การไปปลุกคนเสื้อแดงนั้น เพื่อจะสื่อสารไปถึงองค์กรต่างๆ ว่า ถ้าตัวเองถูกเล่นงานอีกจะสู้ และคนเสื้อแดงก็เป็นคนประหลาด เพราะถูกถีบ ถูกทิ้ง ถูกหลอกแล้วยังพร้อมจะให้หลอกใหม่อีก และไม่คิดถึงคำหลอกลวงที่ผ่านมาเลย ทั้งๆ ที่ทักษิณ เคยหลอกกระทั่งเสียงปืนนัดแรกดังขึ้นจะกลับมานำการต่อสู้ ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเป็นจริง”
อีกอย่างพรรคเพื่อไทย สัญญาว่าได้เป็นรัฐบาลแล้ว 100 วันแรก จะเสนอกฎหมายฟ้องตรงศาลฎีกาในคดีการชุมนุมได้ แต่ก่อนทักษิณออกจาก รพ.ตำรวจหนึ่งวัน ก็ถอนกฎหมายกลับแล้ว ดังนั้น จะเอาอะไรอีกกับคนเสื้อแดง เพราะทำตัวเหมือนเป็นคนมีหน้าที่ ให้ทักษิณและพรรคเพื่อไทยถีบหัวส่งอยู่อย่างนั้นเรื่อยมาและไม่เคยจำ
“ทักษิณ ใช้สนามอุดรในการปลุกแต่ละฝ่ายให้ตื่นตัว ส่วนคนเสื้อแดงพี่น้องใช้วิจารณญาณเอาเองว่า บทจะใช้ก็ใช้ บทไม่ใช้ก็ทิ้ง ทุกสิ่งที่พูดมาหลอกกันทั้งนั้น เราเป็นคนเสื้อแดง หรือควายแดงตามที่เขาว่ากัน” เขาระบุ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจาก “หน้างาน” มันก็พอมองเห็นความผิดปกติอยู่เช่นกัน เช่น มองว่าการลงไปจังหวัดอุดรธานีคราวนี้จะมีลักษณะของการ “จงใจสร้างภาพความยิ่งใหญ่” สร้างบารมีให้เห็นว่า ตัวเองอยู่เหนือทุกสิ่ง และที่สำคัญหลายคนมองออกตรงกันว่า มีการ “เกณฑ์” มวลชน มาแห่แหนต้อนรับกันแบบเกินจริง
อีกทั้งการลงไปหาเสียงเที่ยวนี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เป็นครั้งแรกที่ตัวเขาและพรรคเพื่อไทย เปิดศึกกับพรรคประชาชน และแกนนำของพรรค อย่าง เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าอย่างดุเดือด และก็ได้รับการตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน
จะว่าไปแล้วในทางการเมืองถือว่ามาเร็วก่อนกำหนด เพราะก่อนหน้านี้แทบมองไม่เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายจะมีการตอบโต้ เปิดโปงกันแบบนี้มาก่อน แต่อย่างที่บอกเมื่อทุกอย่างกำลังเดินเข้ามาในทางแคบ มันก็เลี่ยงไม่พ้นก็ต้องปะทะกันก่อน เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ถึงอย่างไรหลายคนก็ย่อมมองออกว่า “นี่คือละครการเมือง” เท่านั้น พวกเขาไม่มีตัดขาดกันหรอก เพราะอย่างที่รู้กันว่าพวกเขามาจากรากเหง้าเดียวกัน
ดังนั้นหากประเมินตามสถานการณ์แล้ว การทุ่มสุดตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร เที่ยวนี้ นอกจากการมาปลุกพลังคนเสื้อแดงอีกครั้ง เพื่อให้กลับมาสนับสนุนเขาและพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง อีกทั้งพยายามทำตัวเป็น “แกนนำฝ่ายอนุรักษ์” เพื่อชนกับพรรคประชาชน ทำให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นภัย แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่บทละครที่ต่างคนต่างเล่น เพื่อหวังผลการเมือง แต่ไม่มีทางที่จะฟาดฟันให้เลือดตกยางออกหรอก !!