ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จุ๊กกวู้ววว สร่างแล้วเปลี่ยน "ทนายตั้ม" จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง! "นุ" ไม่ธรรมดาร่วมฉ้อโกง "พี่อ้อย" 39ล้าน
และแล้ว ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ก็ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมถึงในเรือนจำ เพิ่มอีกคดี
เป็นคดีที่"ฉ้อโกง" เอาเงิน"พี่อ้อย" จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีนีชาวปากช่อง ที่ไปอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส 39 ล้าน
หลังจากคนสนิทผู้ร่วมขบวนการ "นุ" นุวัฒน์ และ "สา" สารินี แฟนสาวถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกง , พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ ร่วมกันฟอกเงิน เรียบร้อย
ว่ากันว่า ทั้ง “ษิทรา-นุ-สา” แบ่งงานกันทำ โดย “ตั้ม” เป็นคนนำพา “นุ” มาพบ “พี่อ้อย” เพื่อช่วยโอนเงินสกุลดิจิทัลแต่โอนไปโอนมา “นุ”อ้างภายหลังว่า ถูกแก๊งสแกมเมอร์ ดูดทรัพย์หายเกลี้ยงกระเป๋า จึงเข้าแจ้งความที่ สน.บางซื่อ
จากนั้นสองสามีภรรยา “นุ-สา” คนสนิท “ตั้ม”ก็เล่นละคร "ปาหี่" ทุ่มเถียง-ร้องไห้ ปริ่มจะขาดใจว่า อุตสาห์เก็บเงินดิจิทัล กะจะไว้ใช้ชำระหนี้ ก็มาสูญไปเพราะมาช่วย"พี่อ้อย" จน พี่อ้อย อินไปกับการแสดง เกิดความสงสาร เลยโอนเงินให้เข้าบัญชี "สา"ไป 39ล้าน ดังว่า
สัมพันธ์ระหว่าง “นุ-สาและตั้ม” เริ่มมาจากที่ “นุ” ถูกฟ้องคดี จึงว่าจ้าง “ษิทรา” มาว่าความให้
จากลูกความและทนาย พัฒนาสานสัมพันธ์เป็นความสนิทสนมเป็นก๊วนเดียวกัน ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ซึ่งคนยืนยันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น "ทนายสายหยุด" สายหยุด เพ็งบุญชู ที่ออกมาเปิดตัวเองว่าเคยไปเที่ยวร่วมกันกับ “ตั้ม-นุ-สา”
ฟังว่า “นุ” ประวัตินั้นไม่ธรรมดา ตำรวจสืบค้นได้ว่า “นุวัฒน์” นั้นเติบโตที่ประเทศเยอรมนีแต่เด็ก ไปเรียนระดับมัธยม เพราะมีแม่แต่งงานกับคนเยอรมัน
“นุ” มีความสนใจเรื่องไอที จึงเลือกเรียนด้านคอมพิวเตอร์ และไอที ในระดับ ปวส. ที่เยอรมัน
หลังเรียนจบก็ทำงานที่เยอรมนี นานถึง 2 ปี และมีความชื่นชอบ "คริปโต" ก่อนกลับมาอยู่ไทย ใช้เงินเก็บสะสมเปิดเว็บไซต์ ให้บริการดูหนังฟรี จนถูกเจ้าของลิขสิทธิ์ฟ้องเมื่อหลายปีก่อน
หลังถูกฟ้อง จึงได้หาทนายมาช่วยทำคดี เลยได้เจอกับ “ทนายตั้ม” ดังว่า
งานนี้ “นุกับสา” จะปฏิเสธอย่างไร ก็ว่ากันไป แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ความสนิทสนมไว้วางใจ “ษิทรา” ให้เป็นผู้ชักนำชีวิต ซึ่งนี่ต้องเขกกะโหลกตัวเองว่า สิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตคงจะเป็นการคบหากับ “ษิทรา” นี่เอง
และจากนี้ไป อาจจะไม่ใช่แค่ “นุ” กับแฟนสาว แต่ต้องดูว่า เส้นทางการเงิน 39 ล้านบาท เชื่อมโยงไปถึงใครบ้าง เห็นว่า ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
เบื้องต้น ตำรวจตรวจยึดของกลางเป็นรถหรู 2 คัน, ซิมโทรศัพท์ และสมุดบัญชีธนาคาร ที่เป็นชื่อของบุคคลอื่น เมื่อไหร่ผลสอบขยายผลออกเจอใคร คงได้หนาวกันละ
ขอให้รู้ไว้ว่า “ทนายตั้ม” จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เอ้า..จุ๊กกวู้วววสร่างแล้วเปลี่ยน!
++ จาก“สามารถ” ถึง “ฟิล์ม รัฐภูมิ” คนของ “ลุงป้อม” ที่เวียนว่ายอยู่ในกระแสข่าว ตบทรัพย์
ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที เมื่อ “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรชื่อดัง ปิดคลิปที่อ้างว่าเป็นศิลปินชาย ร่วมกับนักร้องเรียนสาว ตบทรัพย์ หนึ่งใน “บอสคดีดิไอคอนกรุ๊ป” โดยมีการอ้างชื่อ “หนุ่ม กรรชัย” จะพาไปออกรายการโหนกระแส และเรียกเงิน 20 ล้านบาท
จากคำบอกใบ้ดังกล่าว เป็นปริศนาอยู่ไม่นาน แล้วนักขุดโซเชียลฯ ก็เฉลยออกมาว่าเป็น “ฟิล์ม” รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นักร้องนักแสดงหนุ่มชื่อดัง ที่ระยะหลังพยายามผัดตัวมาเป็นนักการเมือง และนักธุรกิจ
“ฟิล์ม รัฐภูมิ” ก็ดูเหมือนจะรู้ตัวดี รีบออกมาเคลียร์ถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่าเสียงในคลิป เป็นเสียงของตนเองจริง แต่มีการตัดต่อ และไม่ใช่เป็นการตบทรัพย์ แต่เป็นการ “ขายงาน” เนื่องจากตนเองมีบริษัทโปรดักชัน รับทำพีอาร์ มาร์เก็ตติ้ง แล้วลูกค้าเขาติดต่อมา บอกอยากทำพีอาร์ใหม่ เพื่อโปรโมตบริษัทของเขา
ลูกค้าบอกมีงบ 20 ล้าน ตนก็บอกว่า สบายเลย ไปออกรายการโหนกระแส ก็ยังได้ ... ส่วนที่ต้องอ้างถึง “หนุ่ม กรรชัย” ก็แค่อยากได้งาน อยากพรีเซนต์งานให้ผ่าน ส่วนเสียงที่ดูเหมือนว่าตนเรียกเงิน 20 ล้านนั้น มันเป็นช่วงที่ถูกตัดต่อ!!
แต่คนที่ฟังการสนทนาในคลิปแล้ว ต้องเข้าใจว่า “ฟิล์ม”เรียกเงิน 20 ล้าน ในการพา “บอส” คนนั้น ไปฟอกตัวในรายการโหนกระแส เพื่ออธิบายความบริสุทธิ์ของตัวเอง
“ฟิล์ม รัฐภูมิ” บอกว่าสุดท้ายตนเองไม่ได้รับงานนี้ แล้วอย่างนี้จะไปเรียก “ตบทรัพย์” ได้ไง
อย่างไรก็ตาม คนฟังคำชี้แจงแล้ว ก็ยังไม่เคลียร์อีกหลายจุด ยังมีข้อพิรุธในใจ โดยเฉพาะเรื่องเงิน 20 ล้าน ที่ “ฟิล์ม” บอกขอเป็นเงินสด... ตรงนี้ต้องการจะเลี่ยงการตรวจสอบอะไร หรือไม่ ?!
จากเรื่องนี้ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ที่เงียบหายไปนานหลังการเลือกตั้ง ก็กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง
“ฟิล์ม” รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เกิดวันที่ 17 พ.ย.2527 พื้นเพเป็นคน อ.แก่งคอย จ.สระบุรี แล้วเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ จบปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์สื่อดิจิทัล วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ปริญญาโท คณะบริหารการจัดการ ม.ศรีปทุม เคยเป็นนักร้องค่ายอาร์เอส และนักแสดงชื่อดัง
เมื่อกระแสความนิยม การเป็นดาราเริ่มแผ่ว จากเรื่องความสัมพันธ์กับ “แอนนี่ บรู๊ค” ทำให้เขาหันเข้าสู่เส้นทางการเมือง
“ฟิล์ม รัฐภูมิ” เริ่มต้นงานการเมืองที่พรรคพลังท้องถิ่นไท ของ ชัชวาลย์ คงอุดม หรือ “ชัช เตาปูน” ในตำแหน่งรองโฆษกพรรค และได้ลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อ แต่ไม่ได้เป็นสส.
ด้วยความที่เป็นคนหน้าตาดี มีชื่อเสียง เป็นดารา พรรคการเมืองก็อยากได้ไปเป็นตัวสร้างภาพลักษณ์ เมื่อลาออกจากพรรคพลังท้องถิ่นไท ก็ได้ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งตอนนั้น นอ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรค มาสวมเสื้อแจ๊กเก็ตของพรรคให้ และ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค เป็นคนติดเข็มกลัดของพรรคให้ด้วยตัวเอง
ล่าสุด “ฟิล์ม” เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และอยู่ในทีมโฆษกพรรค ได้ลงสมัครสส.เขต 22 กทม. ในการเลือกตั้ง 2566 แต่สอบตก
แล้ว “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ก็กลายเป็นบุคคลในข่าว “ตบทรัพย์” เช่นเดียวกับ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” อดีต รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่มีข่าวเรียกรับเงินจาก “บอสพอล” ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง ดิไอคอนกรุ๊ป ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธมาตลอด แถมขู่ฟ้องผู้ที่ทำให้เสียหาย แต่สุดท้าย “สามารถ” ก็ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ก่อนที่จะถูกที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคขับออก
เมื่อเกิดเรื่องกับ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ซ้ำรอยอีกครั้ง ทางพรรคพลังประชารัฐ โดย “พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย” ก็บอกว่า ขอเวลาตรวจสอบ 2-3 วัน ก่อนที่จะดำเนินการอะไรต่อไป และที่ผ่านมา “ฟิล์ม” ก็ไม่ได้มีการทำกิจกรรมร่วมกับพรรคมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงหลังเลือกตั้ง
แน่นอนว่า เมื่อลูกพรรค “ลุงป้อม”เกิดมีข่าว “ตบทรัพย์” ซ้ำซ้อน แถมไปเกี่ยวโยงกับ “ดิไอคอนกรุ๊ป” เหมือนกันเสียด้วย ย่อมส่งผลกระทบมาถึงชื่อเสียง ภาพลักษณ์ ของพรรคพลังประชารัฐ และ “ลุงป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรค อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แต่สำหรับ “ฟิล์ม รัฐภูมิ”แล้ว คงไม่ห่วงว่าจะยังคงสถานะเป็นสมาชิกพรรคต่อไปได้หรือไม่ เพราะยังมีเรื่องอื่นๆ ให้หนักใจกว่าอีกเยอะ