ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ เด จะสร่างกี่โมง!? เมาไปแถไป "ทนายจุ๊กกรู" คนอะไร!?
เดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ “ทนายเดชา” แกว่งปากโพสต์กร่างรัวๆ หาเรื่อง "สนธิ ลิ้มทองกุล" ผู้ดำเนินรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ที่เตือนสติทนายจุ๊กกรู กรณี ดวดไวน์ไป แถไป ตีฝีปากแถช่วยเพื่อนรัก "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด
ดูออกแหละว่า งานนี้ไวน์ออกฤทธิ์ จนขาดสติ หรือคุมตัวเองไม่ได้ จนกลายเป็นคนบ้า
ปากที่พ่นน้ำลาย และข้อความที่โพสต์บนเพจ "ทนายคลายทุกข์" แสดงออกซึ่งอารมณ์ล้วนๆ ปราศจากข้อมูลความจริง
ปกติคนเขานินทาหมาก็ดูถูกอยู่แล้ว ว่าคิดอะไรไม่ออก ก็ร้องจุ๊กกรูๆ ไม่นานมานี้ต้องร้องเอ๋งๆ เพราะ อุตสาห์พูดจาเป็นทีมเดียวกับ “ทนายตั้ม”เพื่อนรัก พอเพื่อนถูกหมายจับ อนาคตดับวูบ ตัวเองก็พลิกลิ้น 360 องศา กระทืบซ้ำเติมแถไปว่าก็วิจารณ์ไปตามหลักฐาน ที่เพิ่มเติมมา
ถถถ..โถ ถ้าจะหน้าด้านไม่เกรงใจใคร ก็ควรละอายต่อชุดครุยทนายที่ตัวเองสวมใส่ และเคารพเพื่อนร่วมอาชีพบ้าง
ยิ่งมาไลฟ์ และโพสต์รัวๆ มั่วข้อมูลกล่าวหา "สนธิ" ยิ่งอิดหนาระอาใจกับคนที่เรียกตัวเองว่าทนาย
“ทนายเดชา” ขุดเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ทั้งเรื่องคดีส่วนตัว และคดีพันธมิตรของ “สนธิ” ใส่สีตีไข่ กล่าวหาเป็น "สื่อตบทรัพย์-รับงาน" ดูถูกสติปัญญาผู้คนในสังคม ว่าจะไม่รู้อะไร
จุ๊กกรู จะเมาแค่ไหนก็ควรรับรู้ว่า คดีต่างๆ สามารถศึกษาหาอ่านฎีกาได้ หรืออย่างขี้เกียจ ซึ่งเป็นนิสัยถาวรของตัวเองรึป่าวไม่รู้ เสิร์ชกูเกิ้ลดูบ้าง ก็จะรู้ที่ตัวเองพล่ามมันไม่ต่างกับเป็นเกรียนคีย์บอร์ด เกรียนโซเชียล!
เหตุผลไม่ต้องมี ไม่รู้ข้อเท็จจริง ยิ่งไม่สนใจความถูกต้อง เที่ยวพล่ามอย่างเดียว ประจานตัวเอง
คุณสมบัติความเป็นทนายที่ดี มีหรือไม่ คงไม่ต้องถกเถียง
จุ๊กกรูๆๆ เป็นเพียงเกรียนโซเชียลฯ ที่รู้กฎหมายนิดหน่อย! ที่เหลือเห่าหอนเป็นสรณะ
และหากมีคนถาม “ทนายเดชา” ผู้นี้ มีทำคุณูปการอะไรให้กับประเทศชาติบ้างนอกจาก "หิวแสง"
ตอนนี้คงจะเห็นเป็นประจักษ์ว่า ทนายเดชาเป็นคนที่ไม่แยกแยะ ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี แล้วจะไปหาผลงานที่ไหนทำคุณให้ประเทศชาติ และประชาชน
เมาไวน์ คิดถึงแต่พวกพ้อง! จะปกป้องทนายพวกพ้องที่กระทำผิด ห้าม "สนธิ" ที่ทำหน้าที่สื่อวิพากษ์วิจารณ์ “ทนายตั้ม”!?
ยกตัวเลขในคดีของ “สนธิ” มาเทียบกับ “ทนายตั้ม” ฉ้อโกง 71ล้าน แล้วสรุปว่า ตั้มเพื่อนรัก โกงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นคนดีซะงั้น!!
นอกจากมั่วแล้ว ตรรกะยังวิบัติ ใช้ส่วนไหนคิด!? คงต้องถาม จุ๊กกรูๆๆ
ข้อกล่าวหา “ทนายตั้ม” จะเล็กน้อยได้อย่างไร !? “เดชา” รู้กฎหมายมากกว่าประชาชน แต่กลับเห็นดีเห็นงามกับ”ทนายตั้ม”ที่ก็รู้กฎหมายเช่นกัน แต่ยัง "ฉ้อโกง" ลูกความ และก็ต้องรู้ด้วยว่า ไม่ใช่ฉ้อโกงธรรมดา แต่ “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” หรือ โกงโดยสันดาน !
วิธีการฉ้อโกงโดยสันดาน จากฝีมือของทนาย ควรหรือไม่ควรที่สื่อ หรือประชาชน จะช่วยกันกำจัด
ไม่ใช่ "มึงแฉเพื่อนกู แล้วกูจะแฉมึง" แถแบบข้างๆ คูๆ จรรยาบรรณ มารยาทของทนาย-นักกฎหมาย ไม่มีเลยหรือ ? จึงแสดงความทุเรศทุรัง ให้สังคมเห็นธาตุแท้ตัวเอง
คนที่มีอาชีพทนาย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ทำแบบนี้ก็ได้ด้วย !?
คนที่มีพฤติกรรมไม่มีความละอายตัวเอง ว่าทำอะไรไป วาจากลอกกลิ้ง เอาตัวรอดไปวันๆ
คนเช่นนีัเป็นคนอะไร !?
หากทนายจุ๊กกรู อยากรู้ก็ให้ย้อนกลับไปอ่านคอมเมนต์ ในบ้านตัวเองได้
อย่ามัวแต่ป่าวประกาศให้คนมาช่วยกล่าวหา “สนธิ”อยู่เลย อ่านดูคอมเมนต์ ก็จะเห็นหลายๆ คนเขาอยากให้ถาม ระหว่างสื่ออย่าง "สนธิ" กับ "ทนายเดชา" ทนายหิวแสง ใครสร้างคุณูปการให้กับสังคม
หากอยากจะช่วย “ทนายตั้ม” มากขนาดนี้แล้วมาใช้ "นิสัย" กักขฬะ แบบเกรียนโซเชียลฯ ด้อยค่าใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ก็น่าจะเลิกอาชีพทนายไปเสียเถอะ เพราะอยู่ไปก็ทำเสื่อมเสียเกียรติทนายคนอื่นๆ เขา
อายุก็ไม่ใช่น้อย ปูนนี้เป็นทนายอาวุโสได้แล้ว แทนที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่บ้าง กลับยังคงนิสัยเด็กๆ เล่นโซเชียลฯ หาเรื่องคนนั้น คนนี้
สุดท้าย มีคนไม่ลืมว่าที่ผ่านมา ทนายผู้นี้นอกจากตีกิน ตีมึน ตีมั่ว ตีลูกเมา แกล้งเป็นบ้า หรือบ้าจริง มักจะขอจบด้วย "ไหว้สวย" คู่กรณีทุกที
ไม่เคยรับรู้ว่า ที่ทำไปแบบนั้น ตัวเองช่างไร้เกียรติ ไร้ค่า ไร้ราคา สิ้นดี.. จริงมะ จุ๊กกู้วววว!
++ “ทนายตั้ม”โดนข้อหาฉ้อโกง-ฟอกเงิน เพราะมีพฤติกรรม“ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ”
กรณี “ทนายตั้ม”ษิทรา เบี้ยบังเกิด ถูก“พี่อ้อย”จตุพร อุบลเลิศ แจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งในที่สุด “ทนายตั้ม” ก็ถูกศาลออกหมายจับ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวแล้วนั้น
ช่วงก่อนที่จะมีการจับกุม “ทนายตั้ม” ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นัด “พี่อ้อย” ไปให้ปากคำ ถึง 4 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาหลายชั่วโมง
ข้อมูลที่พรั่งพรูจากปาก “พี่อ้อย” นอกจากรายละเอียดการฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท ยังมีเรื่องว่าจ้าง “บริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม” ให้มาเป็นที่ปรึกษากฎหมาย โดยตกลงว่าจ้างกันเดือนละ 300,000 บาท มีระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเงินค่าจ้างนี้ แทนที่จะโอนเข้าบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม แต่กลับโอนไปเข้าบัญชีบุคคล ที่ชื่อ “น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์” ซึ่งว่ากันว่า เป็นพี่สาวของภรรยา ทนายตั้ม โดยตลอด
ยังมีเรื่องซื้อรถเบนซ์ 13 ล้านบาท กุเรื่องเพื่อหลอกขอเงินไปช่วยใช้หนี้ ให้กับคนใกล้ชิดอีก 39 ล้านบาท และเตรียมแผนให้ “พี่อ้อย” ซื้อเรือยอชต์อีก 300 ล้านบาท แต่พี่อ้อย ไหวตัวเสียก่อน
นั่นจึงเป็นที่มาของการแจ้งข้อกล่าวหา “ทนายตั้ม” หลายข้อหา มีทั้ง ข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และ สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (18), มาตรา 5, มาตรา 9 วรรคสอง และมาตรา 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
เมื่อพนักงานสอบสวนนำตัว “ทนายตั้ม” ไปฝากขัง ในคำร้องฝากขัง บรรยายว่า การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 (ทนายตั้ม) เป็นความผิดฐานฉ้อโกง อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
“การฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” ถือเป็นคำศัพท์ใหม่ในทางกฎหมาย ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ซึ่งเรื่องนี้มี “ผู้รู้ด้านกฎหมาย” จากสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ให้ความเห็นในเชิงอธิบายความไว้ว่า คดีของ “ทนายตั้ม” ถือเป็นคดีแรก เท่าที่ตนเองเคยพบ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีข่าวว่า มีคนถูกแจ้งข้อหานี้
การดำเนินคดีอาญา ข้อหา “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” เป็นการนำกฎหมาย 2 ฉบับ มาผสมผสานกัน คือ ข้อหาฉ้อโกงเป็นความผิดที่อยู่ในกฎหมายอาญา โดยมีแต่เฉพาะการฉ้อโกงบุคคลทั่วไป มาตรา 341 กับ การฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 343
ส่วนคำว่า “การฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” จะอยู่ในกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งเป็นมาตรการในการดำเนินคดีกับ ผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด และการยึด อายัดทรัพย์สิน
ทั้งนี้ คำว่า “เป็นปกติธุระ” อาจมีความหมายความว่า เป็นบุคคลผู้มีหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการมรดก หรือผู้จัดการทรัพย์สิน แล้วกระทำการฉ้อโกง โดยหลอกลวง แล้วเอาไปซึ่งทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไปจำนวนหลายครั้ง หลายครา เป็นอาจิณ
พฤติการณ์ที่ “ทนายตั้ม” ทำกับ “พี่อ้อย” ซึ่งเป็นลูกความนั้น ถือว่ามีความผิดร้ายแรง เพราะ พี่อ้อย ให้ความไว้วางใจ มอบหมายให้ทำหน้าที่ในทางกฎหมาย เกี่ยวกับคดีความของตน แต่ “ทนายตั้ม” กลับกระทำการผิดหน้าที่ หลอกลวงเอาทรัพย์สิน ของ “พี่อ้อย” ซึ่งเป็นลูกความ ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
นอกจากเป็นการกระทำที่ผิดหน้าที่ ที่ตนได้รับมอบหมาย ผิดกฎหมาย และยังผิดมรรยาททนายอีกด้วย
การดำเนินคดีกับ “ทนายตั้ม” ด้วยข้อหาดังกล่าวในครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นก้าวย่างสำคัญ เป็นปรากฏการณ์ทางกฎหมาย ในอันที่จะตัดวงจรอาชญากรรม และบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมกับสุจริตชนด้วย
หลังจากนี้เราก็จะได้เห็น การยึด อายัดทรัพย์สินของ “ทนายตั้ม” ตามพ.ร.บ.ฟอกเงิน ต่อไป