เมืองไทย 360 องศา
หากสังเกตอาการของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดต่อพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลในยุคนี้ กำลังอยู่ในขั้น “ร้อนรน” แบบอยู่ไม่เป็นสุขนั่นแหละ ซึ่งหากพิจารณาจากสาเหตุแล้ว ก็น่าเชื่อว่าเขากำลังถูก “บีบรัด” เข้ามาทุกทิศทาง จนแทบจะเรียกว่ากำลัง “ถูกต้อนเข้ามุม” จนมีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านอกเหนือจากตัวเขาอาจต้องกลับไปถูกจองจำอีกรอบ รวมไปถึงจะส่งผลกระทบในทางลบต่อรัฐบาล และตัวนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นลูกสาวของเขาอีกด้วย
เป็นครั้งแรกที่เห็น นายทักษิณ ชินวัตร มีการเคลื่อนไหวแบบรัวๆ ทั้งการให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นต่างๆ นานา และส่วนใหญ่ก็จะเป็นการปกป้องตัวเอง หรือนโยบายบางอย่างในอดีต ตั้งแต่เรื่อง “ป่วยทิพย์ บนชั้น 14” เอ็มโอยู 44 ที่กำลังถูกวิจารณ์ ในลักษณะ“ขายชาติ” ยกแผ่นดินให้กับกัมพูชา เพียงเพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านพลังงาน รวมไปถึงการชี้แจงในเรื่องการนัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปหารือกันที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่กำลังถูกร้องเรียน จนอาจนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย และกระทบต่อการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ น.ส.แพทองธาร อีกด้วย
ที่น่าสังเกตก็คือ เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเปิดเผย แบบมีกำหนดการยาวเป็นหางว่าว ในช่วงที่เขาและรัฐบาล กำลังถูกรุกไล่ ถูกล้อมกรอบเข้ามาเรื่อยๆ เช่น การไปเป็นประธานทอดกฐิน ที่วัดคลองครุ ในเขตคันนายาว ซึ่งเป็นเขตฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย จากนั้นในปลายสัปดาห์หน้า ก็ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อไปช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ของพรรคเพื่อไทย
นายทักษิณ กล่าวถึง MOU 2544 ระหว่าง ไทย-กัมพูชา ว่า บันทึกข้อตกลงที่จะคุยกันในเรื่องที่ยังไม่ได้ตกลงกัน ยังไม่เรียกว่าเป็นข้อตกลง ที่ไม่ต้องเข้าสภา เพราะเป็นเพียงบันทึกข้อตกลง ที่จะคุยกันในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายไม่ตกลงกันว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างไร เป็นแนวที่จะคุยกันไม่ได้ตกลงอะไรกันเลย ซึ่งมีกฎหมายรองรับอยู่ ทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ, สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ในช่วงที่ประเทศกัมพูชาเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรเลย บางคนไม่ทราบว่าเอ็มโอยู 44 คืออะไร แต่ขอตีไว้ก่อน เมื่อถามว่า มีการนำประเด็นดังกล่าวมาโจมตีรัฐบาล นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่เห็นมีอะไรให้ตื่นเต้นเลย
ส่วนที่มีการนำเรื่องดังกล่าวไปเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ของนายทักษิณ กับประเทศกัมพูชานั้น นายทักษิณ ระบุว่า เป็นคนละเรื่องกัน
“ตอนที่ผมเป็นนายกฯ ตอนที่มีปัญหาเรื่องการบุกเผาสถานทูตไทยประจำกัมพูชา ตอนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันเลย แต่ถือว่าผลประโยชน์ประเทศมาก่อน โดยมีการคุยกันว่า ถ้าเอาไม่อยู่จะส่งเครื่องบินไปรับ ผมก็ส่งไปรับ ไม่เห็นมีอะไรเลย ผลประโยชน์ประเทศมาก่อน ความเป็นเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ผลประโยชน์ของประเทศคือคนละเรื่องกัน” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ ยังให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ช่วย นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย หาเสียงว่า จะเป็นการไปเยี่ยมประชาชนที่ไม่เคยลืมกันตลอด 17 ปีที่ผ่านมา โดยตั้งใจจะไปถามสารทุกข์สุกดิบ ทักทายกัน พร้อมกล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนว่า การปราศรัยไม่ได้ทำมานานแล้ว ไม่รู้จะทำได้หรือไม่ แต่จะไม่มีการปราศรัยโจมตีใคร มีแต่เพียงการทักทาย เป็นห่วงเป็นใยประชาชนก็เท่านั้น ซึ่งตนมั่นใจว่า คนอุดรฯ ไม่เคยลืมพรรคเพื่อไทย และยังจำตนเองได้อยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนมั่นใจว่า จะสามารถปักธงชัยในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นนายก อบจ.อุดรธานี ได้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่รู้ แล้วแต่ประชาชนและผู้สมัครที่ได้ทำงานกับประชาชน พร้อมมองว่า การแข่งขันกับพรรคประชาชน ที่มี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงฝ่ายตรงข้าม ว่า เป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขันทางการเมือง และเป็นความสวยงามของประชาธิปไตย
ส่วนการลงพื้นที่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ก็ต้องดูภารกิจในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อีกครั้งหนึ่ง โดยตนจะพิจารณาว่าจะลงในพื้นที่ใด
สำหรับประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์ กรณีที่นายทักษิณ ออกไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ระหว่างต้องโทษจำคุก โดยนายทักษิณ ได้กล่าวติดตลกว่า “ชั้น 14 15 16 17 ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรเลย จะหาเรื่องก็หาเรื่องกันไปเรื่อยๆ แล้วกัน ไม่เป็นไร คนจะหาเรื่อง ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ก็จบ”
เมื่อถามว่า คำร้องดังกล่าวจะนำไปสู่การยื่นยุบพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ส่ายหน้า พร้อมกล่าวว่า ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวล เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ประเพณีปฏิบัติ ไม่เห็นต้องสนใจอะไร เราก็ทำงานไป คนจะร้องก็ร้องไป
ขณะเดียวกัน นายทักษิณ ยังได้กล่าวถึงกรณี กรณีที่ 6 พรรคร่วมรัฐบาล เข้าไปประชุมกับนายทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน ถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเขากล่าวว่า ไม่มีอะไรเลย คืนที่พรรคร่วมเข้าไปบ้านจันทร์ส่องหล้านั้น “ไปกินมาม่า มาม่าอร่อย”
นั่นเป็นคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่นอกจากแก้ตัวแล้ว ยังพยายามแสดงให้เห็นในแบบ “ด้อยค่า” หรือ ด้อยความสำคัญกับเรื่องราวที่เขาถูกกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เอ็มโอยู 44” ที่ถูกระบุว่า กำลังแบ่งผลประโยชน์ด้านพลังงานอันมหาศาล ในเขตพื้นที่ที่ถูกอ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อน โดยแลกกับอาณาเขตที่ต้องเสียไปกับฝ่ายอำนาจในกัมพูชา
กรณี “ป่วยทิพย์บนชั้น14” ที่กำลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กำลังเร่งขอหลักฐาน จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการสอบพยานปากสำคัญมีความคืบหน้าไปมาก จนพบพิรุธมากมาย ทำให้เสี่ยงต่อคุกตะราง รวมไปถึงข้าราชการที่เกี่ยวข้องหลายคน
กรณีที่แทรกแซง และครอบงำรัฐบาล จากการเชิญแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปหารือเพื่อคัดเลือกนายกฯคนใหม่ ก็กำลังคืบหน้าในศาลรัฐธรรมนูญ ที่เชื่อว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันกำหนดพิจารณาว่าจะพิจารณารับคำร้อง หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าต้องลุ้นกันระทึกใจแน่นอน
ทำให้มองเห็นได้ว่า ความพยายามทำให้เป็น “เรื่องเล็กน้อย” ไม่สำคัญ หรือแม้แต่ทำให้เรื่องตลกโปกฮา แต่อีกด้านหนึ่ง ย่อมมองออกว่า เขากำลังกลบเกลื่อน ร้อนใจ แบบ “นั่งไม่ติด” เพราะการเคลื่อนไหวดังกล่าวเหมือนกับว่าพยายามออกมาจากมุมอับ ออกมาเคลื่อนไหวชี้แจงในทุกเรื่องหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เก็บตัวเงียบไปพักใหญ่
ขณะเดียวกันจะเห็นการดาหน้าออกมาของบรรดา “ลูกน้อง” ทั้งคนในพรรคเพื่อไทยและนอกพรรค ที่ออกมาปกป้อง “นายใหญ่” ของพวกเขาอย่างเต็มที่ ทั้งเป็นการด้อยค่าฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงพยายามชี้ให้เห็นว่า นายทักษิณ ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมมาตลอด
ปรากฏการณ์และอาการของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เกิดขึ้นเวลานี้ มันเหมือนกับอาการร้อนรน “นั่งไม่ติด” แต่พยายามกลบเกลื่อนเก็บอาการเอาไว้ ทั้งที่รู้ว่าทุกอย่างกำลังงวดเข้ามา เพราะไม่ว่ามองในมุมไหนทุกอย่างไม่เป็นคุณเอาเสียเลย ทั้งเรื่องคดีความ ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมายังไม่น่าประทับใจเลย ตัวนายกรัฐมนตรียังถูกตั้งคำถามในเรื่องความรู้ความสามารถอยู่ตลอดเวลา แบบนี้จะนั่งอยู่เงียบๆ กบดานอยู่ได้อย่างไร !!