ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ แฉเล่ห์ทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน แซ่ด “ตบทรัพย์” ผกก.โจ้ แลกไม่เปิดคลิปถุงดำ
ธาตุแท้ของคนที่ว่าดูกันไม่ยาก ใครของจริงของปลอม มองที่จุดยืน ถ้าวันนี้อย่าง พรุ่งนี้อย่าง “ฟันธง” ลงไปได้เลยว่าไอ้หมอนี่ ไม่ใช่ของแท้!!
เช่นเดียวกับ ทนายดัง ทั้งหลายหลังจาก “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด พบจุดจบ ก็แตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
บางคนเห็นกระแสไปไม่ไหว ก็พลิกลิ้น กลับลำปล่อยให้เพื่อนรักตายเดี่ยวซะงั้น... จุ๊กกรู
วันนี้ขอเปิดโปงทนาย ผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน อันเข้าลักษณะชายกาลกิณี ไม่สมควรคบหาเพราะจะมีแต่ความเป็นเสนียด จัญไรมาสู่ชีวิต
ขอย้อนไปสู่คดี “ผกก.โจ้”หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ กับพวกรวม 5 คนตกเป็นจำเลยคดีฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
เหตุเกิดปี 2564 พฤติการณ์โดยย่อกล่าวคือ มีมือดีนำคลิปภาพ “ผกก.โจ้กับพวก” ใช้ถุงดำครอบศีรษะ นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ซ้อมทรมานให้สารภาพ แต่เกิดพลาดทำให้ นายจิระพงศ์ เสียชีวิตจนเป็นข่าวครึกโครม สะเทือนขวัญในตอนนั้น
ขณะนี้ “ผกก.โจ้” ได้ชดใช้กรรมที่ก่อขึ้น แปรสถานะจากตำรวจเป็นนักโทษต้องขังอยู่เรือนจำกลางจังหวัดพิษณุโลก
ความลับดำมืดเกี่ยวกับ”มือดี” ที่แอบนำคลิปลับมาเผยแพร่ คือใคร!? ขบวนการเป็นเช่นไร !?
แม้จะไม่ถูกเปิดเผยโดยตรงต่อสังคม แต่ในแวดวงสื่อมวลชน หลายคนรับทราบความเป็นมาแต่ต้องปล่อยวางเพราะเห็นว่า คนกระทำความผิดได้ชดใช้กรรมที่ก่อไปแล้ว ซึ่งรายละเอียดเป็นอย่างไร เกี่ยวข้องกับทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน อย่างไรโปรดติดตาม...
เริ่มจากกลุ่มคนได้คลิปลับมาเก็บไว้ในมือ เป็นอันดับแรก ฟันธงว่า เป็นตำรวจภายในโรงพักนครสวรรค์ ที่มีความขัดแย้งกับ “ผกก.โจ้” และทราบการเคลื่อนไหวภายในสถานีตำรวจแห่งนั้นเป็นอย่างดี มีการเก็บไฟล์ภาพจากกล้องวงจรปิดจากนั้นได้ส่งต่อไปยังสื่อ และทนายดัง เพื่อให้เผยแพร่ซึ่งคลิปดังกล่าวถูกส่งไปยังทนายดังคนที่ 1 แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีแววนำออกมาเผยแพร่
กระทั่ง “ทนายตั้ม” ได้นำคลิปดังกล่าวโพสต์ในเพจฯของตัวเอง นำไปสู่การจับกุม ผกก.โจ้ กับพวกในเวลาต่อมา
มีคำถามว่าเหตุใดทนายดังคนที่ 1 จึงไม่โพสต์ ทั้งที่เป็นคลิปทีเด็ด สามารถเรียกความนิยมได้อย่างถล่มทลาย
คำตอบในกลุ่มผู้สื่อข่าวสายอาชญากรรม สรุปตรงกันก็คือ การละเว้น ให้ความปราณีต่อ “ผกก.โจ้” ครั้งนั้น ต้องแลกกับอะไรหรือไม่ และเป็นตัวเลขมากน้อยเท่าไหร่ !?
เพราะชื่อชั้น ฐานะความร่ำรวยของ “ผกก.โจ้” ก็ไม่ธรรมดา เป็นอดีตนายตำรวจหนุ่มที่มีทรัพย์สินเป็นร้อยเป็นพันล้าน ทีเดียว ....
ความลับดำมืดนี้ คนที่รู้ดีที่สุดก็คือกลุ่มตำรวจที่มีความขัดแย้งกับ “ผกก.โจ้” และจัดสิ่งคลิป ส่งให้ใครคนแรก
บุคคลที่กุมความลับคนที่สองก็คือ “ผกก.โจ้” ถ้าเรื่องนี้มีมูลความจริง และมีเสียงลอดมาจากกำแพงเรือนจำกลางพิษณุโลก ทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ฉิบหายแน่นๆ !!
++ “นายกฯอิ๊งค์” โดนอีกดอก ปม “เอ็มโอยู44-เกาะกูด” เข้าข่ายเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน !?
กรณี “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ทนายความอิสระ ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยสั่งการให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ถูกร้องที่ 1 และ “พรรคเพื่อไทย” ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ อันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 แห่งรัฐธรรมนูญ โดยยื่นไป 6 ประเด็นให้ศาลฯวินิจฉัย
ตอนนี้ศาลรธน. ได้ทำหนังสือไปถึงอัยการสูงสุด เพื่อขอทราบการดำเนินการตามคำร้องดังกล่าว ที่ “ธีรยุทธ” เคยร้องต่ออัยการสูงสุด ก่อนไปยื่นศาลฯ โดยให้รวบรวมจัดส่งต่อศาลฯ ภายใน 15 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันจันทร์ที่ 11 พ.ย.นี้
จึงคาดว่า วันพุธที่ 13 พ.ย. ที่ประชุมตุลาการศาลรธน. จะพิจารณาและมีมติว่าจะรับ หรือไม่รับ เรื่องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย
เมื่อมีหนังสื่อขอข้อมูลมาจากศาลรธน. ทางอัยการสูงสุด จึงเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ โดยทางพรรคเพื่อไทย ได้ส่ง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไปให้ข้อมูล และมีรายงานว่า อัยการสูงสุด ได้เรียก”ทักษิณ ชินวัตร” ไปให้ข้อมูลด้วย แต่ “ทักษิณ” ไม่ไป
ขณะที่ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ซึ่งเป็นผู้ร้อง ก็ถูกเรียกไปให้ปากคำเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่อง “ทักษิณ” ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ
โอกาสนี้ “ธีรยุทธ” บอกว่า ได้ร้องเรียน กรณี “MOU44 และเกาะกูด” ต่ออัยการสูงสุดเพิ่มไปอีกหนึ่งเรื่อง
เนื่องจากที่ผ่านมาปรากฏ พฤติการณ์ ในลักษณะที่ “ทักษิณ ชินวัตร”ไปคบคิดกับ “สมเด็จ ฮุนเซน” อดีตนายกฯกัมพูชา แบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเล โดยอ้างเรื่องพื้นที่ทับซ้อน แล้วต่อมา “ทักษิณ” ก็ไปพูดในงานของสื่อมวลชนแห่งหนึ่ง ในลักษณะการแสดงวิสัยทัศน์ว่า จะมีการรื้อฟื้นเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา
จากนั้น “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ก็นำเรื่องนี้ บรรจุเป็นนโยบายรัฐบาล แถลงต่อรัฐสภา
ประเด็นที่ “ธีรยุทธ” นำขึ้นมาร้องต่ออัยการสูงสุด เพิ่มเติมคือ เรื่องการประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย เมื่อปี 2516 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ได้ใช้พระราชอำนาจ ประกาศเขตไหล่ทวีปเป็นอธิปไตยของประเทศไทย ที่บริเวณเกาะกูด ซึ่งมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เวลานั้นคือ “จอมพลถนอม กิตติขจร” อดีตนายกรัฐมนตรี
เมื่อมาถึงปัจจุบันที่ “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่รับสนองพระบรมราชโองการฯ ดังกล่าวต่อเนื่องมา และทำหน้าที่ พิทักษ์รักษาเขตอธิปไตยแห่งรัฐฯ
แต่กลับกลายเป็นว่า “นายกฯอิ๊งค์” ประกาศเดินหน้า ตั้งคณะกรรมการเพื่อไปเจรจาเรื่องผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อน กับประเทศกัมพูชา
จากผู้ที่มีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาเขตอธิปไตยแห่งรัฐฯ แต่ปรากฏว่า “นายกฯอิงค์” กลับไปเร่งรัด ให้มีการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ ที่อาจกระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ
ทั้งนี้ ในอดีต เคยมีคำวินิจฉัยของศาล รธน.ในเรื่องการทำหนังสือสัญญาใด กับนานาประเทศ หากหนังสือสัญญานั้น มีบทที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่ออธิปไตยแห่งรัฐ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจแห่งรัฐ หนังสือสัญญานั้นอยู่ในพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ดังนั้น การที่ “ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าผู้ใดผู้หนึ่ง หรือทั้งคณะ จะได้ร่วมกันกระทำการอย่างใด อันอาจส่อไปในทางทำให้ประเทศไทย สูญเสียอำนาจในการปกครองอธิปไตยแห่งรัฐบริเวณเกาะกูด รวมถึงการแบ่งปันผลประโยชน์ในบริเวณน่านน้ำตรงเกาะกูด ก็อาจเข้าข่าย ก้าวล่วง กระทบกระเทือนต่อเบื้องพระยุคลบาท และอาจเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ ของพระมหากษัตริย์
นั่นคือ เข้าข่าย เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์
ก็ต้องติดตามต่อไปว่า เมื่ออัยการสูงสุดรับคำร้องนี้แล้ว จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร และสุดท้ายต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่