ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ อวสาน “ทนายตั้ม” ทนายจุ๊กกรู นกรู้กลัวต้องร้องเอ๋ง จากช่วย ตะแบงพลิกเป็นกระทืบซ้ำ!
ไม่ต้องเวิ่นเว้อรอนานเป็นมหากาพย์
กรณี “พี่อ้อย” จตุพร อุบลเลิศ เศรษฐีนีชาวปากช่อง ผู้ที่อาศัยอยู่ประเทศฝรั่งเศส แจ้งความดำเนินคดี “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด จากประเด็น “ฉ้อโกง” 71 ล้าน หลอกให้ลงทุนแพลตฟอร์มหวยออนไลน์
นับจากวันที่ 23ตุลาคม “ทนายแบรนด์เนม” ร้อนรน ชิงไปออกรายการโหนกระแสของ “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอยก่อนที่คดีนี้จะกลายเป็นข่าวใหญ่ ตอบคำถามที่มาของความอู้ฟู่ ร่ำรวยของตัวเองว่า ส่วนหนึ่งเพราะตัวเองมีเสนห์ คนรักคนเมตตา จึงได้เงินมา 71ล้าน โดยเสน่หา!
ตามมาด้วยการโพสต์ข้อความ “ท้าทาย”สื่อ ที่เสนอข่าวระบุถึง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ใครแพ้กินฉี่ 71 แก้ว
“ทนายตั้ม”ทำอะไรไว้ ย่อมรู้อยู่แก่ใจ แต่ตัวเองคงเคยชินกับการวางพล็อตสร้างสตอรี่ เรียกแสง โดยลืมคิดไปว่า เรื่อง “ฉ้อโกง” พี่อ้อยไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา
พลันที่ข่าวฉ้อโกงอดีตลูกความเศรษฐีนีแพร่กระจาย ประจานพฤติการณ์ตัวเองออกไป เหมือนเขื่อนแตกน้ำทะลักทลายออกมา มี “ผู้เสียหาย” จากทนายตั้ม หลั่งไหลกันออกมาเปิดโปงเรื่องราวต่างๆ ที่ “ษิทรา” เคยทำไว้อย่างต่อเนื่อง
มาถึงวันนี้ใครเลยจะคิด หรือ แม้แต่ “ทนายตั้ม” เองก็คงไม่คิด ช่วงเวลาสิบกว่าวันที่เดินเกิมออกโหนกระแส กรรมจะทำงานราวติดจรวด ถึงกับทำชีวิตเปลี่ยน!
ขณะเดียวกัน ช่วงเวลาสิบกว่าวันที่ผ่านมา การทำงานของตำรวจ ก็คืบหน้าเป็นอย่างมาก รวบรวมพยานหลักฐานสอบปากคำ “พี่อ้อย” เพิ่มจนละเอียดรัดกุม สามารถจะชี้พฤติการณ์ของ “ทนายตั้ม” เป็น 4 คดี
นอกจากคดีหลอกให้ลงทุนหวยออนไลน์ 71 ล้านบาท ตามมาด้วยคดี 39 ล้านบาท ที่ต้องสงสัยร่วมขบวนการหลอกให้พี่อ้อย โอนเงินให้คนสนิทตัวเอง คดีแจ้งซื้อรถยนต์ 13 ล้านบาท แต่ออกรถไม่ตรงรุ่นที่ราคาถูกกว่า อมส่วนต่าง และ คดีจ้างออกแบบโรงแรม 9 ล้านบาท แต่มูลค่าจริงแค่ 3.5 ล้านบาท
จาก 4 คดี ที่ฉ้อโกงผู้เสียหายนำไปสู่พฤติการณ์ที่เป็น “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” เข้าข่ายความผิดฟอกเงินไปด้วย
“ทนายตั้ม” จากเคยเป็นทนายโซเชียลฯ เจื้อยแจ้ว หิวแสง ต้องถูกความจริงไล่ล่า กบดานอยู่นานหลายวัน ผิดปกติวิสัย
ในที่สุดพยายามจะดิ้นแก้กรรม เคราะห์หามยามซวยของตัวเอง ด้วยการชิงสร้างภาพไปปรากฏตัวที่กองปราบ เมื่อวันก่อน ซึ่งคงคำนวณไว้ว่า การเคลื่อนไหวชิงพบตำรวจก่อนจะถูก หมายเรียก – หมายจับ จะเป็นประโยชน์กับตัวเองในภายหลัง หากต้องโดนคดี ก็คงได้ประกันตัว
ฟังว่า หมากของ “ทนายตั้ม” ได้ที่ปรึกษาทนายในกลุ่มพันธมิตรที่ยังหลงเหลืออยู่อย่าง “ทนายจุ๊กกรู” เดชา กิตติวิทยานันท์ เป็นกุนซือเพียงคนเดียว หลังจากคนอื่นๆ ส่วนใหญ่โดดหนีเมื่อเห็นท่าไม่ดี
อาศัยการเป็นทนายโซเชียลฯ หาแสง “ทนายจุ๊กกรู” ก็ทำหน้าที่ออกมาไลฟ์สดถี่ๆ ชี้นำสังคมเพื่อช่วยเหลือทนายตั้ม ตะแบง อย่างแข็งขัน
แต่หลังความจริงปรากฏ โดยเฉพาะคดี 39 ล้าน “ทนายตั้ม”กำลังจะถึงจุดอวสาน!!
“ทนายเดชา” เหมือนนกรู้ จึง “เปลี่ยนสี” จากช่วยตะแบง เป็นช่วยกระทืบซ้ำเพื่อนตั้ม
โดยแก้เขิน โพสต์ข้อความลงในเพจ ทนายคลายทุกข์ว่า...”จุดจบทนายตั้มในคดีฉ้อโกงลูกความ? ให้ไปดูที่เพจดาวแปดแฉก อาจเป็นจุดจบทนายดัง"
จากนั้นเข้ามาคอมเมนต์ต่อโพสต์ของตัวเอง ยอมรับว่า คดี 39 ล้าน ...พยานหลักฐานที่เพจดาวแปดแฉกนำมาเสนอมีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า สแกมเมอร์ คือใคร คือผู้ต้องหาในคดีนี้หรือไม่ และที่สำคัญมีการนำแคชเชียร์เช็ค ไปเบิกเงินหลังจากนั้น ใครรับแคชเชียร์เช็คไปทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำ แคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีใคร ใครได้เงินจากการหลอกลวง อาจเป็นจุดจบทนายดัง พยานหลักฐานสำคัญกว่าน้ำลาย ... “บิ๊กโจ๊ก” กล่าวไว้ว่า กรรมใครกรรมมัน
และสรุป “พยานหลักฐานล่าสุดจนถึงวันนี้ ทนายตั้มน่าจะรอดยากแล้วครับ”
การเปลี่ยนสี ยูเทิร์นฉับพลันทำให้เอฟซี ถึงกลับถามว่า วันนี้ อาจารย์เดชา กินยาผิดเหรอ?
“ทนายจุ๊กกรู” ตอบว่า ข้อมูลเพิ่มเติมการวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ได้รับมา
แหม...งานนี้ ทนายเดชา เจ้าของคำพูดติดปาก คิดอะไรไม่ออก ร้องจุ๊กกรูๆๆ คงรู้แล้วละว่า เมื่อเจอเคส “ทนายตั้ม”จุกๆแบบนี้ ตะแบงช่วยต่อไม่ไหว จากที่ร้อง จุ๊กกรูๆ อาจจะต้องร้องเอ๋งๆๆ เลยจำเป็นต้องกลับตัว 180 องศา แบบหน้าด้านๆ โนแคร์ใดๆ !
++ เกมแก้รธน. พรรคสีน้ำเงิน ได้ที ทั้งขี่ ทั้งขย่ม เพื่อไทย
ปัญหาการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่ต้องมาสะดุดหยุดลง เมื่อวุฒิสภา หรือ “สภาสีน้ำเงิน” มีมติให้กลับไปใช้ ประชามติแบบ 2 ชั้นเหมือนเดิม หลังจากที่สภาผู้แทนพิจารณาแล้วมีมติให้เหลือแค่ชั้นเดียว
ประชามติชั้นเดียว หมายถึง ผลโหวตในประเด็นที่ทำประชามติเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ ก็ใช้ได้แล้ว โดยผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ จะมีจำนวนเท่าไรก็ได้
ส่วนประชามติ 2 ชั้น หมายถึง ผลโหวตเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ และผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ จะต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงด้วย
ยกตัวอย่าง มีผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 40 ล้านคน ต้องออกมาใช้สิทธิ์ เกิน 20 ล้านคน สมมติว่าออกมาใช้สิทธิ 25 ล้านคน ผลโหวตที่เห็นด้วยต้องเกิน 12.5 ล้านคน จึงจะใช้ได้ ซึ่งบรรดากรรมาธิการสภาผู้แทนฯ ที่พิจารณาเรื่องนี้เห็นว่า กติกาแบบนี้ผ่านยาก
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องจะต้องทำประชามติ 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง โดยแต่เดิม ที่รัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” บอกว่าหากจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง คือ “ก่อนแก้ไข -กระบวนการในการยกร่างแก้ไข- หลังยกร่างรธน.เสร็จ” ซึ่งขณะนี้มีความพยายามที่จะให้เหลือแค่ 2 ครั้ง คือ ก่อนแก้ กับหลังยกร่างเสร็จ เพื่อร่นขั้นตอนให้กระชับขึ้น
เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการทำประชามติ ซึ่งเป็นไฟต์บังคับเข้ามาแทรก จึงทำให้มีแนวโน้มว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่เสร็จในรัฐบาลนี้ ผลคือ จะต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม เป็นกติกาในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
หากเป็นเช่นนั้น พรรคการเมืองส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และ “นายใหญ่” คงไม่ชอบใจนัก เพราะจะได้รับผลกระทบในหลายๆ ด้าน ถึงชนะเลือกตั้งก็ไม่สามารถ “กุมสภาพ” ในทางการเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ต่างจากพรรคภูมิใจไทย ของเสี่ยหนู “อนุทิน ชาญวีรกูล” ที่ขณะนี้ถือว่า ยึดสภาสูงไว้เป็นแต้มต่อได้แล้ว ด้วยมี “สว.สีน้ำเงิน” อยู่ในมือ กว่า150 เสียง
ความสำคัญของ สว.นอกจากจะมีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย ที่ผ่านมาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ยังมีหน้าที่ “เปิดไฟเขียว” หรือ “ยับยั้ง” กรรมการองค์กรอิสระ ที่ผ่านขั้นตอนการสรรหามาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ... ก่อนจะปฏิบัติหน้าที่ต้องผ่านการสอบประวัติ และได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อน
“พรรคเสี่ยหนู” จึงไม่กังวลว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า จะต้องใช้รัฐธรรมนูญเดิม ขณะเดียวกันกลับมองว่าเป็นการได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นด้วยซ้ำ... แถมยังพูดเอาหล่อว่า พรรคการเมืองอื่นแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่เห็นหัวประชาชน!!
ล่าสุด ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ได้หารือถึงเรื่องนี้กันอีกครั้ง โดยหลังการหารือ “นิกร จำนง” เลขานุการกมธ.ร่วมฯ บอกว่าทาง สว.ก็ยังคงยืนยันว่า จะผ่านประชามติได้ ต้องมีเสียงข้างมาก 2 ชั้น แต่ทางฝั่ง สส. ก็ยังคงยืนยันว่า ชั้นเดียว หรือ ลดลงมาเหลือ“ชั้นครึ่ง”ได้หรือไม่
ชั้นครึ่ง หมายถึง มีผู้ออกมาใช้สิทธิ เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเห็นชอบ ให้ยึดเกณฑ์เสียงข้างมากชี้ขาด แทนการใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิ
นอกจากนี้ยังได้เสนอให้ทำประชามติผ่านไปรษณีย์ เพื่อประหยัดต้นทุน และจูงใจให้คนมาใช้สิทธิมากขึ้น เพราะไม่ต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา ซึ่งจะมีการเชิญตัวแทนบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มาชี้แจงต่อ กมธ.วันที่ 20 พ.ย.นี้ ว่าพร้อมหรือไม่
เรื่องทำประชามติผ่านไปรษณีย์ หลักการดูดี แต่เวลาปฏิบัติจริง จะทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ไม่มีการโกง!!
ก็ต้องติดตามกันว่า เมื่อเปิดสภาฯมา เรื่องนี้จะได้ข้อยุติอย่างไร หาก สว.ยังคงยืนกรานว่าต้องเป็นประชามติ แบบ 2 ชั้น แต่สภาผู้แทนก็ยืนยันว่าต้องชั้นเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ต้องทิ้งช่วงเวลาไว้ 180 วัน ก่อนจึงจะใช้ตามแบบของ สส.ได้
เกมนี้นอกจากภูมิใจไทย จะใช้ สว.กดดันแล้วยังใช้เงื่อนเวลาเป็นตัวบีบเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย