เมืองไทย 360 องศา
แน่นอนว่าตามรูปการณ์แล้ว เวลานี้สำหรับกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยต้องคดีทุจริต และได้พ้นโทษออกมาแล้ว แต่การที่เขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว โดยเชื่อว่ามีกระบวนการปกป้อง ปกปิดเขา โดยเฉพาะในช่วงที่มีการรักษาอาการที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ กำลังย้อนกลับมารัดคอ จนอาจสร้างความเดือดร้อนให้กันคนที่เกี่ยวข้องหลายคน ทั้งในระดับรัฐมนตรี ข้าราชการ และแพทย์หลายคน
อย่างไรก็ดี ความพยายามในการปกปิดก็ยังดำเนินการไปอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการอ้างอิง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (พีดีพีเอ) โดยหนึ่งในนั้นก็คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวของนายทักษิณ นั่นเอง
น.ส.แพทองธาร กล่าวถึง กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอเวชระเบียนการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากโรงพยาบาลตำรวจ แต่ยังไม่ได้รับ ในฐานะที่นายกฯดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จะสามารถเปิดเผยเรื่องนี้ได้หรือไม่ ว่า เรื่องนี้ให้เป็นไปตามกระบวนการ ยังไงก็ตาม ยินดีให้ความร่วมมืออยู่แล้ว และในตัวของรัฐบาลเองก็ยินดีให้ความร่วมมือ ไม่ว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร ก็เป็นไปตามนั้น แต่ยังไม่แน่ใจในหลักของกฎต่างๆ ว่าเปิดเผยได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร ถ้าตามกฎหมายได้ ก็ตามนั้น
ถามว่า ได้มีการสอบถามกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เห็นทาง ผบ.ตร.ก็ออกมาแล้วใช่หรือไม่ จริงๆ อยากให้เป็นไปตามกระบวนการ เพราะต้องมีคณะกรรมการในเรื่องนี้อยู่แล้ว และไม่ได้เข้าไปแทรกแซงอะไรอยู่แล้ว กับ ผบ.ตร.ก็ยังไม่ได้คุยกันในเรื่องนี้ แต่เห็นว่าได้มีการชี้แจงไปแล้วว่า มีเรื่องของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
เมื่อถามว่า จะรับมือตรงนี้อย่างไร เพราะถ้าเข้าไปทำก็ถูกมองว่าอาจจะช่วยพ่อ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็อาจจะโดนอยู่ดี นายกฯ กล่าวว่า ยึดหลักตามกระบวนการแล้วกันว่าต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ในฐานะของนายกฯ ก็ต้องว่าไปตามนั้น รัฐบาลก็ยินดีให้ตรวจสอบอยู่แล้ว จะได้ไม่กระทบต่อรัฐบาลด้วย
ด้านพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เรายินดีและยืนยันว่าเราปฏิบัติตามกฎหมาย สังคมอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน แต่เชื่อว่าทางเรือนจำจะส่งหลักฐานในกรณีของนายทักษิณไปให้ ซึ่งไม่มีสักนาทีที่นายทักษิณออกจากห้องรักษาตัว เช่นเดียวกับนักโทษทั่วไปที่ออกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอื่นๆ เช่นกัน ทั้งไปกลับและค้างคืน
“ยืนยันว่ายินดีจะให้ข้อมูล แม้แต่กรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทำหนังสือมา และผู้ตรวจการแผ่นดิน มีคำวินิจฉัยเรื่องเดียวกันผู้เสียหายคนเดียวกัน แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินบอกว่าไม่มีความผิด แต่ กสม.มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิ ในทางกฎหมายถ้าหน่วยงานอิสระรับไว้ตรวจสอบอีกองค์กรหนึ่ง ไม่ควรจะมีความเห็นต่างกัน มันอยู่ในเอกสาร แต่อย่างไร เราจะให้ความร่วมมือและพร้อมจะชี้แจง”
แน่นอนว่า ข้อมูลสำคัญยังเป็นเรื่องเวชระเบียน หรือ ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาอาการเจ็บป่วย และประวัติการวินิจฉัยโรค ที่เวลานี้ยังไม่ได้มีการส่งให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่มีการร้องขอไปแล้วถึง 3 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการขอหลักฐาน ภาพวงจรปิด หลักฐานการเข้าเยี่ยมผู้ป่วย การควบคุมผู้ป่วยจากเจ้าหน้าที่ กรมราชทัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่ได้รับ
ขณะเดียวกันยังมีผลสอบสวนของแพทยสภา ที่เกี่ยวข้องกับจรรยาแพทย์ ที่จนถึงตอนนี้ยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้น และไม่มีการรายงานผลสอบสวนออกมา
อย่างไรก็ดี ในกรณีดังกล่าว มีพยานสำคัญที่ถือว่าเป็นผู้กุมความลับสุดยอดเอาไว้ในมืออย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์สื่อ ยืนยันถึงวันไปพบ นายทักษิณ ที่โรงพยาบาลตำรวจ ว่านายทักษิณไม่ได้แต่งตัวในชุดคนป่วย แต่ใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้น ไม่มีอุปกรณ์การแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีคนติดตามมารับใช้ คอยเสิร์ฟข้าวเหนียวมะม่วง รอถามเพิ่มน้ำส้มคั้นอีกด้วย
คำอ้างอิงดังกล่าวของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะแสดงให้เห็นว่านายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ป่วยจริง ซึ่งความลับแบบนี้คงปกปิดกันต่อไปไม่ได้ ต้องมีการสอบสวนกันต่อ โดยเฉพาะให้จับตาศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะพิจารณาคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ ที่ร้องให้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย หยุดใช้สิทธิ์ในการดำเนินการล้มล้างการปกครองฯ ว่าจะรับคำร้องหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าเวลางวดเข้ามาทุกทีแล้วเหมือนกัน
หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว มาถึงตรงนี้ กรณีนายทักษิณ ชินวัตร กับอาการ “ป่วยทิพย์” ที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ที่เชื่อว่าเวลานี้สังคมน่าจะเห็นตรงกันว่าไม่ได้ป่วยจริง ขณะเดียวกันกำลังกลายเป็นแรงกดดันให้ทั้ง นายทักษิณ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ต้องเร่งทำให้กระจ่าง จะเงียบไปดื้อๆ ไม่ได้ อีกทั้งหน่วยงาน ทั้งกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ หรือแม้แต่แพทยสภา จะต้องสรุปผลและส่งรายงานให้ทราบ จะอ้างว่าเป็นความลับของคนไข้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งยังขัดกับความรู้สึกของสังคม ที่ต้องการรับรู้ความจริง
ดังนั้นแม้ว่า ทางฝ่ายหน่วยงานรัฐ ที่สังคมมองว่ากำลังช่วยกันปกปิดข้อมูลมากแค่ไหน เนื่องจากเกรงว่าตัวเองจะมีความผิด และติดร่างแหไปด้วย แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการยิ่งสร้างแรงกดดันจากสังคมมากขึ้น เพราะเหมือนกับเป็นการท้าทาย และสวนทางกับความเป็นจริง
ขณะเดียวกัน แน่นอนว่าแรงกดดันนี้ยังเกิดขึ้นกับหน่วยงานอิสระ อย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมไปถึงฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชน ที่ล่าสุดยังต้องออกมาเคลื่อนไหวตรวจสอบมากขึ้น โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ ที่มี นายรังสิมันต์ โรม จากพรรคประชาชน เป็นประธาน ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ในวันที่ 7 พฤศจิกายน นี้ ถือว่าเป็นก้าวสำคัญ ที่บีบกระชับเข้ามาอีกทางหนึ่ง
ดังนั้นมาถึงตรงนี้ สำหรับ กรณี นายทักษิณ ชินวัตร กำลังเดินมาถึงจุดสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมีแรงกดดันเข้ามาจากทุกทิศทาง ความลับที่พยายามปกปิดมานาน ก็ต้องถูกบังคับให้เปิดเผยจนได้ แม้จะยื้อกันแค่ไหนก็ตาม เพราะยิ่งยื้อมันก็ยิ่งเสี่ยงคุก !!