ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายกฟ้องคดีขอเพิกถอนกฎกระทรวงขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบอัตราใหม่ ชี้ เป็นมาตรการเพื่อลดการบริโภคยาสูบของประชาชน ที่กระทรวงการคลังดำเนินการชอบด้วยกฎหมาย
วันนี้ (5 พ.ย.) ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายกฟ้องในคดี นายภคิน วลโภคาศัย กับพวก ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผลิตยาสูบประเภทยาเส้น จาก จ.เพชรบูรณ์ รวม 3 ราย เดินทางมายื่นฟ้อง รมว.คลัง และกระทรวงการคลัง ต่อศาลปกครองกลาง โดยขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกฎกระทรวง กำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562 ฉบับลงวันที่ 7 พ.ค. 2562 เพื่อจัดเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบอัตราใหม่ ที่กำหนดอัตราภาษียาเส้นอื่นนอกจากยาเส้นที่ผู้เพาะปลูกต้นยาสูบทำจากใบยาที่ปลูกและหั่นเอง จากเดิมกรัมละ 0.005 บาท เป็นกรัมละ 0.10 บาท เป็นการกำหนดอัตราภาษีที่สูงเกินกว่าปกติ ทำให้ต้องชำระภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้น และเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายบุหรี่ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผล ว่า เมื่อเปรียบเทียบภาระภาษีของยาเส้นกับบุหรี่และยาเส้นกับยาเส้นปรุงในปริมาณที่เท่ากัน ปรากฏว่า มีภาระภาษีที่ต่างกันถึง 350 เท่า และ 340 เท่า ตามลำดับ และเมื่อสินค้ายาสูบ ซึ่งรวมถึงยาเส้นถือเป็นสิ่งเสพติดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ภาครัฐจึงมีนโยบายที่จะลดการบริโภคยาสูบของประชาชนโดยอาศัยมาตรการด้านต่างๆ ทั้งมาตรการทางภาษีและมิใช่ทางภาษี กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตจึงมีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมปริมาณการผลิต กระบวนการผลิต และการจำหน่ายยาสูบให้ได้คุณภาพและมีมาตรฐาน มิให้กระทบต่อสุขภาพของประชาชน และมีมาตรการเพื่อลดการบริโภคยาสูบของประชาชน ดังนั้น การปรับเพิ่มอัตราภาษีสำหรับยาเส้นดังกล่าว จึงไม่ได้เป็นการกำหนดเกินกว่าความจำเป็นและเพิ่มภาระภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอย่างมาก หรือเกินสมควรแก่เหตุแต่อย่างใด ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีจากสินค้ายาสูบอีกด้วย จึงมิได้ขัดรัฐธรรมนูญ การที่กระทรวงการคลัง โดย รมว.การคลัง ได้ออกกฎกระทรวงดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว


