เมืองไทย 360 องศา
หากมองสถานการณ์ของพรรคประชาชน หรือที่เรียกว่า “พรรคส้ม”ในเวลานี้เหมือนกับว่า กระอักกระอ่วนยังไงชอบกลเหมือนกับว่าพอบรรยากาศทางการเมืองเปลี่ยนไป หรือเวลาทอดยาวไปนานๆ พวกเขาก็เหมือนกับหยุดนิ่ง ขาดความเร้าใจ รวมไปถึงไร้จุดขายกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด ความหมายที่เคยกล่าวว่า “ตายสิบเกิดแสน” นั้นคงเป็นไปได้ยากแล้ว
เพราะหากพิจารณาตามความเป็นจริง และสถานการณ์จริงเวลานี้ พรรคประชาชนไม่ได้ร้อนแรงก่อนหน้านี้ หรือนับตั้งแต่มีการยุบพรรคก้าวไกล จนมาถึงชื่อใหม่เรียกว่าพรรคประชาชน มีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคคนใหม่มาเป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ทุกอย่างก็ดูถดถอยลง แม้แต่การบทบาทในสภาฯ ในฐานะผู้นำ ฝ่ายค้านก็ยังมีผลงานไม่น่าประทับใจ ไม่มีความโดดเด่น เป็นชิ้นเป็นอัน
ซึ่งคงไม่ได้กล่าวหากันแบบลอยๆ เพราะพิสูจน์ได้จากผลสำรวจที่ออกมาเป็นระยะ ล้วนสะท้อนออกมาได้ดีว่า ทั้งตัวหัวหน้าพรรค และพรรคประชาชน ต่างไม่มีผลงาน ไม่มีจุดเด่นเลยแม้แต่น้อย ตัว นายณัฐพงษ์ มีความนิยมอยู่ในอันดับที่ 9 แทบจะรั้งท้าย เพราะแม้แต่ระดับ สส.ในพรรคปลายแถวกลับ
ได้รับความนิยมสูงกว่าเสียอีก
ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันนอกจากแบบไม่มีบทบาทโดดเด่นในสภาฯ และบทบาทการเป็นฝ่ายค้านแล้ว มิหนำซ้ำ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาถูกกล่าวหา ถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นพรรคการเมืองประเภทไหนกันแน่ จนมีการล้อเลียนว่า “พรรคประชาชนพม่า” หรือล่าสุดมีการกล่าวหาร้ายแรงทำ นองว่า เป็น “แนวร่วม บีอาร์เอ็น” ไปเลยก็มี จนทำ ให้ต้องมีการขู่ฟ้องร้องคนที่กล่าวหาดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ก็มีคนที่ออกมาชี้แจงว่าให้รอดูกันต่อไปยาวๆ อย่าง นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ปรึกษาคณะก้าวหน้า พร้อมกับเชื่อมั่นว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ จะทำ หน้าที่ได้ดี และได้รับความนิยม และกล่าวในทำ นองไม่ค่อยเชื่อมั่นผลสำรวจเท่าใดนัก
นายพิธา กล่าวถึงผลโพลที่ประชาชนเกินครึ่งไม่เชื่อมั่นพรรคฝ่ายค้าน ว่า เวลาจะอ่านโพล ไม่ค่อยดูตัวเลขเท่าไร แต่จะดูว่าใครเป็นผู้ทำ ผลโพล ก่อนจะนำ มาวิเคราะห์เพื่อดูข้อที่ควรปรับปรุง ซึ่งเชื่อว่าพรรคฝ่ายค้าน ก็จะนำ มาปรับปรุง เพื่อให้กำ ลังใจไม่เสีย
ส่วนจะมีช่องโหว่ใดที่พรรคประชาชนจะต้องปรับนั้น นายพิธา มองว่า ต้องใช้เวลา หากดูตามเนื้อผ้า และติดตามการทำงานของผู้นำ ฝ่ายค้าน อย่างน้อยที่สุดก็ทำ ได้เทียบเท่ากับมาตรฐาน เหมือนตอนที่เป็นพรรคก้าวไกล แต่เชื่อว่าจะสามารถทำ งานและบริหารจัดการได้ ขณะเดียวกันก็เข้าใจว่า มีการโจมตีพรรคเยอะพอสมควร จึงขอใช้โอกาสนี้ ในฐานะที่เป็นอดีตเพื่อนร่วมงานมา 5-6 ปี เห็นว่าพรรคประชาชนก็มีความตั้งใจทำ งานเพื่อคนไทย ไม่ใช่เป็นพรรคประชาชน ที่มีนามสกุลพม่า ไม่ใช่พรรคประชาชน บีอาร์เอ็นแน่นอน แต่เพราะมีความตั้งใจทำงานแก้ปัญหาให้คนไทย เพียงแต่ว่าบางปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น ฝุ่น คอร์รัปชัน แรงงานต่างด้าวที่ไม่ขึ้นทะเบียนในระบบ ต้องได้รับการจัดการเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย
“เพราะฉะนั้น การที่มีกระบวนการบอกว่าเป็นพรรคประชาชนพม่า รวมทั้งที่มีการพูดว่า พรรคภูมิใจกัมพูชา ถือเป็นการใช้ชาตินิยมมาเป็นเครื่องมือใน การทำ ลายล้างทางการเมือง ก็ต้องขอวิงวอนไปถึงประชาชนว่า ไม่ได้เป็นประโยชน์ กับใครเลย ยกเว้นคนที่ต้องการจะโจมตี และต้องการเบี่ยงประเด็นสำ คัญ จึงขอแยกให้ออกว่าเป็นการโจมตี หรือเฟกนิวส์ หรือเป็นการพูดข้อเท็จจริง”
เมื่อถามว่า พรรคประชาชนต้องใช้เวลานานเท่าไร ถึงจะเปล่งประกาย นายพิธา ระบุว่า ถามถูกคนแล้ว พร้อมเล่าย้อนว่า ผลสำรวจนิด้าโพลครั้งแรกของตนเอง 3% และขึ้นถึง 45% ในระยะเวลา 3 ปี ฉะนั้น หากถามว่ามีเวลาเท่าไร ก็มองว่ามีเวลาตัดสินใจก่อนที่ประชาชนจะเข้าคูหา จะต้องผ่าน และเชื่อว่าเป็นกระบวนการที่จะต้องผ่านทั้งอุณหภูมิการเมือง ความกดดัน และความอดทน ซึ่งเชื่อว่าหากตนผ่านไปได้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ก็จะผ่านไปได้เช่นกัน
แม้ว่าคำ พูดข้างต้นของนายพิธา กล่าวทำ นองว่าขอเวลาให้ นายณัฐพงษ์ พิสูจน์ผลงานอีกสักระยะหนึ่งก็ตาม แต่หากพิจารณาจากบทบาทเท่าที่เห็นในช่วงที่ผ่านมา แทบจะไม่เป็นแววโดดเด่นให้เห็นเลย ทั้งในเรื่องบุคลิก ความน่าเชื่อถือ อาจเรียกได้ว่า ไม่เข้าตาเอาเสียเลย ทำ ให้หลายคนคิดไปได้ว่า “ผิดพลาด” มาตั้งแต่แรกแล้วที่เสนอชื่อเขาขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาชน
อย่างไรก็ดี อาจเป็นเพราะเป็นความต้องการของ “เจ้าของพรรค” ตัวจริงที่เข้าใจกันว่าเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ต้องใช้คนที่ไว้ใจได้มากกว่าคนที่มีความโดดเด่น เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เคยมีการวิเคราะห์กันว่า ไม่อยากให้ นายพิธา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ตัวเองกำ ลังถูกตัดสิทธิทางการเมือง เนื่องจากตัวเองได้ลงทุนเอาไว้ทุกอย่าง อะไรประมาณนั้น
เพราะหากเทียบกันตัวต่อตัว และความโดดเด่น ความสามารถ รวมทั้งการ “สร้างจุดขาย” ก็น่าจะเป็น น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล เสียมากกว่า อย่างน้อยก็ยังสามารถไปแข่งขันกับ “อุ๊งอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ในการเลือกตั้งคราวหน้า
นอกจากนี้ บทบาทในภาพรวมของพรรคประชาชนในสภาฯ ก็แทบจะไม่ได้เครดิต ไม่มีกระแสเท่าที่ควร บทบาทและการเคลื่อนไหวแต่ละเรื่องล้วนไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ เป็นแค่ความต้องการของคนกลุ่มเล็กๆ ในลักษณะ “พวกเดียวกัน” เสียมากกว่า หรือแม้แต่การดึงดัน มุ่งเน้นอยู่แต่เรื่อง การนิรโทษกรรม มาตรา 112 หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สวนทางกับความรู้สึก ของชาวบ้าน แถมในการอภิปรายในสภาฯ สส.บางคนยังแสดงบทบาทได้อย่างน่าผิดหวัง ออกไปในทาง “ขาดความรู้” เสียอีก ยิ่งตอกย้ำ ในทางลบเพิ่มขึ้นไปอีก
อีกทั้งการมุ่งเน้นอยู่แต่เรื่อง “เผด็จการ” หรือ “ประชาธิปไตย” การไล่บี้ กองทัพ เหมือนกับลดทอนเครดิต อยู่ตลอดเวลามันก็ยิ่งทำ ให้เกิดปฏิกิริยาทางลบจากสังคมมากขึ้น หลังจากที่เวลานี้ กองทัพหรือทหารเขา “อยู่เป็น” รู้จักปรับตัว เห็นได้ชัดจากการช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ ล้วนได้รับการชื่นชม ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของนักการเมือง โดยเฉพาะจากพรรคประชาชน ที่แทบจะไม่ได้แต้มเลยจากเหตุการณ์น้ำ ท่วมในภาคเหนือที่ผ่านมา
ดังนั้น หากพรรคประชาชนไม่ปรับบทบาท และท่าทีบางอย่างเสียใหม่รู้จักเรียนรู้อารมณ์ของสังคม รู้จักสถานการณ์และบรรยากาศว่าเปลี่ยนไปอย่างไร เพราะหากยังเคลื่อนไหวแบบเดิมๆ เชื่อว่ามีแต่ถดถอยลงไปเรื่อยๆเพราะที่ผ่านมาไม่ใช้ก้าวล้ำ แต่น่าจะเป็นก้าวพลาดซ้ำ ซากเสียมากกว่า !!.