ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จากปาก "พี่อ้อย" ถึง "ทนายตั้ม" ยิ่งตอกย้ำไม่มีหรอกให้โดยเสน่หา!
วีรกรรมของ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเรื่อยๆ
ยิ่งได้ฟังจากปากของ “พี่อ้อย” จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหายที่กล่าวโทษแจ้งความทนายคนดัง “ฉ้อโกง” 71 ล้าน ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ตอบข้อสงสัยกับทีมงาน “สนธิทอล์ก” นำมาเผยแพร่เมื่อวาน (28 ต.ค.) ยิ่งต้องบอกว่า “ษิทรา”จะอมพระมาพูด ก็ไม่มีใครเชื่อว่าจะได้เงินมากมายขนาดนั้นมา “โดยเสน่หา”
มิหนำซ้ำ ไส้กี่ขดต่อกี่ขด ถูกลากออกมาให้ชาวประชาเห็นกันจะจะ
ตั้งแต่มีพฤติกรรมรับเงินค่าจ้างเดือนละ 3 แสน แต่ไม่ทำอะไร โดยค่าจ้าง “ทนายตั้ม” ขอให้ไม่ต้องโอนเข้าบัญชีบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด แต่ให้ โอนเข้าบัญชี “พี่สาวเมีย”
ตรงนี้ สรรพกรโปรดแซ่บ!
ส่วนจะเลี่ยงภาษีนานแค่ไหน ก็ต้องนับตั้งแต่ “ทนายตั้ม” ส่งสัญญาให้ “พี่อ้อย” และจ่ายกันก็อยู่ในข่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ว่าจ้างกันประมาณ 1 ปี จึงเปลี่ยนเป็นจ้างเป็นเคสๆไป
ขณะที่ "ประโยชน์อื่นๆ" ที่ษิทราได้รับจาก พี่อ้อย คือ การบินไปเที่ยวฝรั่งเศส และยุโรปบ่อย ก็เงินพี่อ้อยทั้งน้าน
ทุกๆ อย่าง นั่งบิสสิเนสคลาส จองเอง ขนไปทั้งครอบครัว ทริปล่าสุดก่อนที่สัมพันธ์จะแตกแยก คือไปเที่ยวฟินแลนด์
พร้อมกับคำยืนยันจาก “พี่อ้อย” จะเอาเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด
ขณะที่ “ษิทรา” ไปเคลื่อนไหวที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ในคดีมหากาพย์หวย 30 ล้าน ก็ยังปากแข็งยืนยันว่า “พี่อ้อย”ให้โดยเสนหา และตัวเองพูดความจริงทุกคํา ให้รอดูผลของเรื่องนี้เหมือนกับที่มารอดูผลของหวย 30 ล้าน ซึ่งต้องใช้เวลา ตอนนี้พูดไปก็เท่านั้น เพราะว่าคนไม่เชื่ออยู่ดี
คล้ายๆ เจ้าตัวตอนนี้รู้ตัวว่า ทัวร์กำลังลงตัวเอง สู้แบบหลบๆ เลี่ยงๆ จะดีกว่า
แต่เพราะพฤติกรรมทำอะไรไว้เยอะ จึงมีเจ้ากรรมนายเวรตามมาปูดไม่พัก
นอกจากถูก “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล สั่งจากในคุกให้จัดการกรณี “ตบทรัพย์” ยังตามมาด้วยเรื่องของ “คนบนเรือ” ใน “คดีแตงโม” นิดา พัชรวีระพงษ์
หลังจาก “ปอ” ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ เปิดปากเรื่องที่เก็บกดทับอกมานานถึงพฤติการณ์ถูกทนายตั้ม ฝากเอาไว้
“แซน” วิศาพัช มโนมัยรัตน์ ก็มาสำทับขยี้ซ้ำ
ทำนองว่า หลังจากเกิดเหตุดาราสาวพลัดตกเรือ ทนายดังได้ติดต่อหาทาง “ปอ-ตนุภัทร” พร้อมคำแนะนำที่ฟังแล้วอึ้ง ไม่นึกว่า ทนายความจะมีแบบนี้ด้วย
โดยแนวทางป้ายความผิดให้คนใดคนหนึ่งบนเรือรับผิด
ความจริงเป็นอย่างไร ทนายไม่สน แถมเรียกเงินค่าดูแลคดีเป็นเงินก้อนโตมากๆ
“ปอ-ตนุภัทร” จึงตัดสินใจไม่ให้ทนายคนดังทำคดี
พอไม่ได้ทำคดี ก็ออกฤทธิ์ “ทนายตั้ม” กลับโพสต์เฟซบุ๊กว่า ไม่รับทำคดีให้คนบนเรือ ทั้งๆ ที่ถูกปฏิเสธ
แถมไปว่าความให้อีกฝ่ายต่างหาก ทำให้ "คนบนเรือ" เห็นธาตุแท้ทนายคนดัง มีทนายแบบนี้ด้วยหรือ !?
++ ทำไม “ภูมิธรรม” ต้องสั่งโอนคดี ดิไอคอน ทั้งหมดให้ ดีเอสไอ ไปดำเนินการ
การทำคดี “แชร์ลูกโซ่” ดิไอคอนกรุ๊ป โดยตำรวจในยุค “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ “บิ๊กก้อง” พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้รับเสียงชื่นชมในความฉับไว ถึงลูกถึงคน
มีการระดมพนักงานสอบสวน รวมทั้งสั่งการไปยังสถานีตำรวจทั่วประเทศให้รับแจ้งคดีนี้ สอบสวนผู้เสียหาย แล้วส่งข้อมูลเข้ามาส่วนกลาง โดยไม่ต้องให้ผู้เสียหายเดินทางมาเอง ตอนนี้ยอดผู้เสียหาจะทะลุหมื่นแล้ว มูลค่าความเสียหายประมาณ 3 พันล้าน
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อหา “18 บอส” คือ ฉ้อโกงประชาชน และข้อหากระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และกำลังจะมีการแจ้งข้อหาฟอกเงิน อั้งยี่ และเตรียมขอหมายจับผู้ต้องหา “ลอต 2”
แต่ล่าสุด “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้เรียก “พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช” เข้าพบ พร้อมสั่งการให้โอนสำนวนคดีทั้งหมดในส่วนของตำรวจสอบสวนกลาง ไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” เป็นผู้ดำเนินคดีต่อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บอกว่า ดีเอสไอ จะรับเพียงเฉพาะข้อหาพ.ร.บ.ฟอกเงิน ไปดำเนินการเท่านั้น
ตอนนี้คดีดิไอคอน ที่เคยอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็จะไปอยู่ในความรับผิดชอบของ “ดีเอสไอ” ที่เป็นหน่วยงานขึ้นตรง กระทรวงยุติธรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม
แน่นอนว่า ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ถ่ายโอนสำนวน และความรับผิดชอบ จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ไป ดีเอสไอ ย่อมเกิดช่วง “สุญญากาศของคดี” คือทางตำรวจก็หมดอารมณ์ที่จะทำต่อ ไม่อยากยุ่ง ส่วนทางดีเอสไอ เพิ่งรับเรื่องมาก็ต้องมาตรวจสำนวน มาศึกษาความเป็นมา เป็นไป และข้อกฎหมาย กันใหม่
คดีหยุดชะงักแน่นอน!!
และช่วงที่เกิดสุญญากาศเช่นนี้ ก็ทำให้บรรดาบอส ที่ตกเป็นผู้ต้องหา โดยเฉพาะ “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง ดิไอคอนกรุ๊ป ได้มีเวลาหายใจ หายคอ ได้ตั้งหลักเพื่อหาทางออกกันบ้าง
คนที่มีเงินระดับพันล้าน หมื่นล้าน เมื่อต้องมาเจอวิกฤตเช่นนี้ ก็ย่อมต้องดิ้นรน ผ่อนหนักให้เป็นเบา เรื่องเบาก็เป่าให้ปลิวไป โดยใช้ทรัพย์สินเงินทองที่มีให้เป็นประโยชน์
ในโซเชียลฯ จึงมีการวิพากวิจารณ์กันว่า การโอนย้ายคดีไปอยู่ในมือ ดีเอสไอ น่าจะเป็นผลดีกับบรรดาบอส ทั้งหลายมากกว่าอยู่กับตำรวจ
เรื่องนี้ “สว.ชิบ จิตนิยม” ก็ข้องใจ จึงได้ตั้งกระทู้ถาม “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ว่ามีเหตุผลอะไร จึงต้องส่งคดีนี้ให้ ดีเอสไอ เอาไปทำ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะเกรงว่า หากดำเนินการไม่เสร็จทันตามกรอบเวลา อาจจะต้องมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาจากการคุมขัง ทำให้ผู้ต้องหารอดคดี พร้อมถามถึงมาตรการ ควบคุมป้องกันการใช้สื่อ หรือ แพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ให้มีการโฆษณาหลอกลวงประชาชน ลงทุนธุรกิจขายตรง โดยการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง มาสร้างความน่าเชื่อถืออีก
คนที่มาตอบแทน “นายกฯอิ๊งค์” คือ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยชี้แจงว่า มาตรการป้องกันการใช้สื่อออนไลน์ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มาโฆษณาหลอกลวงประชาชนผ่านธุรกิจขายตรงนั้น เรามีกฎหมายป้องกันอยู่ อย่างเช่น พ.ร.บ.การขายตรง พ.ร.บ.การกู้ยืมเงิน และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ส่วนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โอนสำนวนคดีให้ดีเอสไอ ดำเนินการ เป็นคดีพิเศษ เพราะเห็นว่า อาจจะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสองหน่วยงาน ก็ได้ทำงานประสานกันอยู่แล้ว จึงน่าจะทำให้คดีเดินเร็วขึ้น
เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนั้น “สว.ชิบ” จึงถามย้ำถึง มาตรการที่รัฐบาลจะทำให้ประชาชนไว้วางใจ การทำงานของเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับคดีนี้
“ประเสริฐ” ตอบว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของ สคบ. มีอนุกรรมการ 2 ชุด ชุดแรกนำสืบค้นหาข้อมูลทั้งหมด เพื่อประกอบการพิจารณา และ อนุกรรมการชุดที่ 2 ดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ ในอนาคต จากนั้นรายงานมาให้ คณะทำงานชุดใหญ่เพื่อดำเนินการ หากพบว่าเรื่องนี้ ใครมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้มีเรื่องในลักษณะเดียวกันนี้ เกิดขึ้นอีกในอนาคต
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า คดีดิไอคอน ในมือ ดีเอสไอ จะเดินไปอย่างไร บรรดาบอสทั้งหลาย จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่ และจะมีการออกหมายจับผู้ต้องหาลอต 2 หรือไม่