xs
xsm
sm
md
lg

“หม่อมกร” จี้ยกเลิก MOU44 ชี้ขัดแย้งพระบรมราชโองการ ร.9 เสี่ยงเสียดินแดน-ชักศึกเข้าบ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หม่อมกร” จี้รัฐบาลนำ MOU 2544 เข้าสู่รัฐสภาเพื่อยกเลิกโดยเร็ว ชี้ หากเจรจากับกัมพูชาตามกรอบ MOU นี้ จะเท่ากับยอมรับพื้นที่ทับซ้อน ชักศึกเข้าบ้าน ดึงมหาอำนาจตะวันตกเข้ามา และเสี่ยงเสียดินแดนเกาะกูด ที่ ร.5 ทรงยอมเสียดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งเศส เพื่อรักษาเอาไว้ และยังเป็นการขัดแย้งต่อพระบรมราชโองการในหลวง ร.9 ที่ทรงประกาศเขตไหล่ทวีปตามหลักกฎหมายสากลไว้ตั้งแต่ปี 2516


วันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “คุยกับหม่อมกร” ว่า เนื่องในวันปิยมหาราช ก็รำลึกถึงพระองค์ท่านจึงหยิบสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสมาอ่าน เพราะกำลังเป็นกระแสว่า พื้นที่อ่าวไทยแท้ๆ กลับมีเจ้าของร่วมเป็นกัมพูชา ทั้งที่พระองค์ท่านได้คืนมาด้วยความเสียพระทัยอย่างยิ่ง ยอมเสียดินแดน พระตะบอง เสียมราฐ สีโสภณ ให้ฝรั่งเศสไป เพื่อแลกเอาจังหวัดตราดซึ่งเป็นชาวสยามกลับคืนสู่มาตุภูมิ สนธิสัญญาสยาม ฝรั่งเศส ระบุชัดเจนตามมาตรา 2 ว่า รัฐบาลฝรั่งเศสยกดินแดนด่านซ้าย และตราดให้แก่สยาม รวม ทั้งเกาะทั้งหมดที่ตั้งอยู่ทางใต้ของแหลมลิง (แหลมสิงห์) ลงไปและรวมถึงเกาะกูด

เป็นอันชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทยโดยสมบูรณ์

ประเทศไทยได้ให้สัมปทานปิโตรเลียมในปี 2514 กลับบริษัทบริษัท ยูโนแคล และบริษัท บริติส แก๊ส ต่อมา ในปี 2515 กัมพูชาได้ขีดเส้นพรมแดนทางทะเลข้ามเกาะกูดมายังกลางอ่าวไทย ทับพื้นที่สัมปทานปิโตรเลียมไทยอย่างไม่แยแส เส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชาดังกล่าว ขัดต่อกฎหมายสากลทั้งอนุสัญญาเจนีวา 1958 ราวกับการขัดขาไทยไม่ให้ดำเนินการใดๆ ในพื้นที่ของไทยเอง

ในปี 2516 ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงมีพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย โดยยึดถือมูลฐานแห่งสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ “อนุสัญญาเจนีวา 1958” เพื่อแสดงแนวของไหล่ทวีปที่ติดกับประเทศข้างเคียง

แต่ฝ่ายกัมพูชากลับประกาศให้สัมปทานปิโตรเลียมทับบนพื้นที่ ที่แนบท้ายพระบรมราชโองการ แก่ชาติมหาอำนาจตะวันตก ดังนั้น สิ่งที่ไทยควรทำ คือ การแจ้งให้ฝ่ายกัมพูชา ทราบว่า สิ่งที่ดำเนินการไปนั้น มิได้เป็นไปตามกฎหมายสากล เป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยสูงสุดของไทย และมีผลกระทบกระเทือนต่อพระบรมราชโองการย่อมเป็นการเสียสัมพันธไมตรี และขอให้กัมพูชาขีดเส้นเขตแดนตามกฎหมายสากล

แต่รัฐบาลไทยในปี 2544 กลับกระทำตรงกันข้าม คือ ไปทำหนังสือ MOU ยอมรับเส้นเขตแดนที่ไม่มีกฎหมายสากลรองรับของฝ่ายกัมพูชา โดยรัฐบาลไทยโฆษณาว่า จะได้ขุดน้ำมัน และก๊าซร่วมกัน ราคาพลังงานจะได้ถูกลง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเราได้ให้สัมปทานปิโตรเลียมให้แก่ชาติตะวันตกหมดสิ้นแล้ว สิทธิในทรัพยากรจึงเป็นของบริษัท ไทยจะได้เพียง ค่าภาคหลวงและภาษี ซึ่งถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของบริษัท ที่สำคัญคือหากฝ่ายไทยยอมรับว่ากัมพูชาเป็นเจ้าของร่วมในพื้นที่ดังกล่าวนั่น ย่อมหมายความว่า มิใช่เพียงสิทธิการขุดน้ำมันและก๊าซ ที่จะต้องสละให้กัมพูชาครึ่งหนึ่ง แต่รวมถึงพื้นที่น่านน้ำอ่าวไทยในการทำประมงและท่องเที่ยว และพื้นที่น่านฟ้าเหนือพื้นที่ทับซ้อนจะเป็นสิทธิร่วมกับกัมพูชาทันที คณะรัฐมนตรีจึงสมควรนำ MOU 2544 เข้าสู่รัฐสภาเพื่อยกเลิกโดยเร็ว

เรื่อง MOU 2544 นี้ เงียบหายไปหลายปี จนกระทั่งปัจจุบันนายกรัฐมนตรีได้กลับมาพูดเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง ว่า จะเร่งเจรจาให้จบโดยเร็ว และมีข่าวลือว่า US Asean business council มีส่วนเกี่ยวข้องในการผลักดันอย่างเต็มที่เพราะเป็นผลประโยชน์ของบริษัทสัญชาติตะวันตก แต่คำถามที่ประชาชนต้องหาคำตอบคือ ฝ่ายรัฐบาลไทยเร่งรีบเจรจาตามกรอบเดิม เพื่อผลประโยชน์ของใคร ทั้งที่ MOU 2544 มีผลขัดแย้งกับพระบรมราชโองการ ปี 2516 และสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนดังเช่นกรณีเขาพระวิหาร

และที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อ MOU 2544 สัมฤทธิ์ผลจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน เพราะพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นของมหาอำนาจตะวันตก จึงเป็นเป้าหมายการโจมตีทางยุทธศาสตร์หากเกิดสงครามขึ้น ผลกระทบอย่างใหญ่หลวงก็จะขึ้นกับประเทศ และคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


















กำลังโหลดความคิดเห็น