เมืองไทย 360 องศา
ผลพวงจากคดีสลายการชุมนุมที่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ที่สร้างบาดแผลและความเจ็บปวดมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงวันนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ แม้ว่าบางช่วงอาจจะเงียบลงไปบ้างตามกาลเวลา แต่สำหรับผู้ที่สูญเสียเชื่อว่าพวกเขาคงลืมยากแน่นอน
คดีดังกล่าวกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังจากศาลจังหวัดนราธิวาส ได้ออกหมายจับข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จำนวน 6 ราย โดยมีหนึ่งราย เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จึงใช้วิธีออกหมายเรียก และขออนุญาตจับกุม วันที่ 15 ตุลาคมนี้ อีกครั้ง แต่เมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว เชื่อว่าพวกเขาได้พร้อมใจกันหลบหนีหมายจับ และเข้าใจได้ไม่ยากว่า มีเจตนาหลบเลี่ยงเพื่อให้คดี “หมดอายุความ” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
สำหรับ จำเลยที่ถูกออกหมายจับประกอบด้วย อดีตผู้บัญชาการพล. ร. 5 อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า และเป็นอดีตสว. อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 อดีต สว. อดีตผู้กำกับ สภอ.ตากใบ อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส
ขณะที่ จำเลยที่ 1 พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 และเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การดำเนินงานของพรรคเพื่อไทย ต่อพล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับ ในคดีสลายการชุมนุมที่ตากใบ ใกล้จะหมดอายุความ ว่า เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา ทางพรรคเพื่อไทยได้พยายามเร่งรัด ให้พล.อ.พิศาล เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาล และ ในวันที่ 15 ต.ค.ในช่วงเย็น จะมีการประชุมพรรคเพื่อไทย ก็จะทราบว่าคณะกรรมการพรรคจะมีมติในการดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร หากพล.อ.พิศาล ไม่ลาออกจากการเป็น สส. บัญชีรายชื่อ และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ส่วนตัวเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะมีการขับออก เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาส่วนตัวของพล.อ.พิศาล ที่มีมานาน และพรรคเพื่อไทย พยายามรักษาความเป็นพรรคการเมืองอยู่ และจะไม่ปล่อยปละละเลยให้ใครทำผิด
นายสมคิด กล่าวว่า เวลานี้ยังไม่แน่ใจว่าขับออก หรือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หรือสุดท้ายท่านอาจจะลาออกเองก็ได้ ส่วนก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่ลาออกตนก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ขอให้มีการพูดคุยกันก่อน ในวันที่ 15 ต.ค.
ด้านนายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง การติดตามตัว พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยอ้อนวอนขอ อยากให้พล.อ.พิศาล กลับมาสู้คดี แต่ถ้าเขากลับมาหลังจากคดีขาดอายุความแล้ว ตนยืนยันว่า พรรคเพื่อไทย จะมีมาตรการออกมาแน่นอน
เมื่อถามถึง กรณีที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า พรรคไม่ดำเนินการอะไร นายสรวงศ์ กล่าวว่า ต่อให้เราขับออกจากพรรคท่านก็ยังเป็น สส.อยู่ ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดเป็นบรรทัดฐาน และในส่วนของพรรค ก็ยังพยายามติดต่อ ให้ท่านกลับมาสู้คดี พร้อมยืนยันว่า ตอนนี้ตนก็ยังไม่สามารถติดต่อท่านได้
เมื่อถามว่า กังวลต่อภาพลักษณ์และฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย หรือไม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านเป็น สส.พรรคเรา เป็นสมาชิกพรรคเรา สิ่งที่เราพยายามอย่างยิ่ง คืออยากให้ท่านกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะขณะนี้ยังมีเวลา หากท่านเลี่ยง เลือกที่จะกลับมาหลังคดีขาดอายุความ พรรคจะมีมาตรการแน่นอน สุดท้ายอาจจะต้องขับออก พร้อมยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้อุ้ม พล.อ.พิศาล เพราะในส่วนของพรรคก็ทำอย่างเต็มที่ พยายามอย่างยิ่ง เพื่อให้ท่านกลับมาสู่กระบวนการยุติธรรม
แน่นอนว่า สำหรับท่าทีล่าสุดของพรรคเพื่อไทยที่ออกมาในเชิงขยับที่บีบให้ พล.อ.พิศาล กลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือบีบให้ลาออก หรือขับออกจากพรรคนั้น เกิดขึ้นหลังจากเริ่มมีผลกระทบกับพรรคเพื่อไทยมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับการไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม มีโอบอุ้มชวยเหลือจำเลยที่กระทำผิด อีกทั้งยังมีผลทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ ตามมาอีกด้วย และที่สำคัญจำเลยที่หนีหมายจับดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิด เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ นายทักษิณ ชินวัตร ที่มองว่าเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย และอยู่เบื้องหลังรัฐบาลนั่นแหละ
สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้แกนนำพรรคเพื่อไทย เริ่ม“นั่งไม่ติด” ต้องออกมา “แอกชัน” บ้าง แม้ว่า พิจารณาตามอาการแล้วเหมือนกับว่า “ต้องทำอะไรสักอย่าง” แทนที่จะใช้วิธีนิ่งเฉย เหมือนกับก่อนหน้านี้ เนื่องจากเชื่อว่าเรื่องจะเงียบไปเอง เพราะผ่านมาหลายปีแล้ว รวมไปถึงท่าทีที่เมินเฉย เพราะสังเกตจากคำพูดที่เคยบอกว่า พรรคเพื่อไทย ไม่มีหน้าที่ในการติดตามตัว พล.อ.พิศาล มาดำเนินคดี
อย่างไรก็ดี ย่อมมองออกได้ไม่ยากว่า อาการของพรรคเพื่อไทยต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว อย่างน้อยก็ต้องแสดงท่าทีให้เห็นว่า ไม่มีเจตนาอุ้มจำเลยที่เป็น ส.ส.ของพรรค เพียงแต่เมื่อเขาหลบหนีไป ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็คือ บีบให้ลาออก หรือไม่ก็ต้องใช้วิธีขับพ้นจากส.ส. แต่วิธีหลังนี้ยังถือว่าไม่พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. ยังสามารถไปหาสังกัดพรรคใหม่ภายใน 30 วันได้ ซึ่งต้องติดตามว่าจะเลือกวิธีไหน แต่หากเป็นการขับออก ยังมีเวลา 30 วัน ซึ่งในเวลานั้น ถือว่าคดีหมดอายุความไปแล้ว
ซึ่งเจตนาของจำเลยทั้งหมดที่ถูกออกหมายจับ เลือกใช้วิธีหลบหนีคดีนั้น ทำให้มองได้ว่า มีการ “ขยิบตา” ให้หนี เพื่อให้คดีหมดอายุความ หรือไม่ เชื่อว่าหลายคนมองออกอยู่แล้ว
สำหรับพรรคเพื่อไทยนาทีนี้ถือว่า “งานเข้า” รัวๆ ไล่ลงมาตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่โดนกระหน่ำในเรื่องความเชื่อถือ ความรู้ความสามารถ ถูกร้องจนเสี่ยงพ้นจากเก้าอี้ และยุบพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังถูกเปิดโปงเรื่อง “ป่วยทิพย์” เสี่ยงคุกตะรางอีกรอบ ล่าสุดก็มาถึงจำเลยคดีตากใบ ที่กลับมาหลอนอีกรอบ จนต้องรีบ “ชิ่ง” ให้พ้นตัว ก่อนที่จะลุกลามเข้าตัวมากกว่านี้ เพราะคู่แข่งอย่างพรรคประชาชน กำลังยกขึ้นมาบี้หนักขึ้นเรื่อยๆ
เอาเป็นว่าทุกอย่างกำลังรุมเร้า จนเหมือนกำลังเมาหมัด แก้ไม่ตกสักเรื่องเดียว !!