ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ "บอสกันต์" เด้งตัวเองพ้น "พิธีกร" ทุกรายการ "บิ๊กต่าย" เร่งสอบความผิด “ดิ ไอคอน” ลุ้น "บอสต้องหา" เป็นใครบ้าง!?
เป็นประเด็นดรามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจออนไลน์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงาม ดิ ไอคอนกรุ๊ป (The Icon Group) ของ "บอสพอล" วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ
เรียกว่างานเข้า และถูกขุดคุ้ยตีแผ่ออกมาแทบจะทุกนาทีทางโซเชียลฯ เพราะงานนี้มีเจ้าทุกข์ที่เป็น "เครือข่าย"จำนวนมาก และชาวเน็ตมีอารมณ์ร่วมอย่างมาก จากที่มีคนบันเทิงระดับ "ตัวท็อป" เป็นผู้บริหารอยู่ด้วย ทั้ง "บอสแซม" ยุรนันท์ ภมรมนตรี, "บอสกันต์" กันต์ กันตถาวร และ "บอสมิน" มิน พีชญา
หลังกระแสสังคมกดดันหนัก บรรดา "บอส" ร่างทอง และ บอสอู้ฟู่ ทั้งหลายจึงถูกตั้งคำถาม จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร!? โดยเฉพาะ "บอสกันต์" โดนหนักถึงกับมีข่าวแพร่สะพัดถูกต้นสังกัด "เวิร์กพ้อยต์" ดีดพ้นหน้าที่ "พิธีกร"
กระทั่งเจ้าตัวต้องออกมาโพสต์ "ขอยุติบทบาท" พิธีกรในทุกรายการด้วยตัวเอง
“กันต์ กันตถาวร“ หรือ “บอสกันต์” โพสต์ว่า จากกระแสข่าวที่กำลังเป็นประเด็นทางสังคมซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตัวเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และเพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจและความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคม รวมไปถึงต้นสังกัดและผู้ที่ร่วมงานด้วย
จึงขอยุติบทบาทการเป็นพิธีกรในทุกรายการ จนกว่าจะมีความชัดเจนและความกระจ่าง และพร้อมที่จะให้ข้อมูลกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความถูกต้องในกระบวนการยุติธรรม
ปรากฏว่า หลังข่าวแพร่กระจายออกไป มีชาวเน็ตแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก มีทั้งแสดงความชื่นชม และซ้ำเติมด่าทอ
นั่นเพราะว่า "บอสกันต์" ถือเป็นคนที่ใกล้ชิดกับ "บอสพอล" ผู้ก่อตั้งและ ซีอีโอ ดิไอคอน โดยบอสพอล ตบรางวัลให้พิธีกรดังอยู่บ่อยครั้ง ดังที่เห็นๆ เป็นคลิปไวรัล เช่น ให้รถมูลค่าหลายล้าน
งานนี้จึงเป็นเรื่องที่ "บอสกันต์" จะปฏิเสธกระแสโจมตี และติดร่างแหไปกับ ดิ ไอคอน ไม่ได้ ด้วยความเป็น "คีย์แมน"ของเครือข่าย ก็ขึ้นอยู่กับว่า กงล้อของกระบวนการยุติธรรมที่กำลังหมุนอยู่นี้ จะม้วนเอา “บอสกันต์” เข้าไปเอี่ยวแค่ไหน
แน่นอนว่า ดรามา ดิ ไอคอน เป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจติดตามอย่างมาก ซึ่งพุ่งไปที่ผู้บริหาร The Icon และ ดารา จะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ ?
ฟังว่า "บิ๊กต่าย" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. ก็เกาะติด-ติดตามไปถึงศูนย์จัดรับเรื่องร้องเรียน ที่ตั้งไว้ที่ บก.ปคบ. พร้อมกับสั่งการ ระดมกำลังพนักงานสอบสวนจาก บช.ก.ทั้งหมด ให้เข้ามาสอบสวนในเรื่องนี้
“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” เชื่อว่า ปมประเด็นข้อสงสัยต่างๆ จะคลี่คลายในเร็ววันนี้ ซึ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือ สอบสวนผู้เสียหายและ รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานก่อน ใช้เวลาเร็วที่สุดประมาณ 2-3 วัน จึงจะพิสูจน์ให้ได้ข้อเท็จจริง
จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมาย คาดว่าไม่เกินสัปดาห์ ที่จะพบว่ามีความผิดในฐานใด ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการออกหมายเรียก หากไม่มา ก็ออกหมายจับ
หากพบความผิด ถึงตอนนั้นใครบ้างที่จะเข้าขายใครบ้างที่จะถูกเรียกมาตอนนั้นก็ลุ้นกัน
ที่แน่ๆ ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้จากผู้เสียหายที่สอบไปแล้ว 80 ปาก รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 31 ล้านบาท โดยถูกชักชวนให้ทำธุรกิจ เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัท เสียค่าอบรม จากนั้นเข้าสู่กระบวนการเปิดเครดิต และอัปเกรดเป็นขั้นบันได เริ่มจาก 2,500, 25,000 และ 250,000 บาท
ถามว่ามีความเป็นไปได้ที่บริษัทดัง จะเข้าข่ายความผิดอะไรบ้าง หรือไม่ ตอนนี้โซนที่เป็นไปจะเกี่ยวกับ "แชร์ลูกโซ่" หรือ การหลอกร่วมลงทุน
นี่ก็ต้องติดตามดูกัน “บอสพอล” และ พลพรรค "บอส" คนบันเทิงทั้งหลาย จะกลายเป็น "บอสต้องหา" หรือไม่อย่างไร!? ไม่นานมีคำตอบนะจ๊ะ
++ “ทักษิณ” เจอดาวพิฆาต ร้องศาลรธน. เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ
เรื่องที่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ออกมาฉายหนังตัวอย่าง ให้จับตาวันที่10 ต.ค. จะมีเรื่องใหญ่ ถึงขั้นทำให้พรรคแกนนำรัฐบาลล่มสลายได้ ตอนนี้ก็เฉลยออกมาแล้ว
นั่นคือเรื่องที่ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ทนายความอิสระ ไปยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยสั่งให้ “ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย” เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรธน.มาตรา49
เรื่องนี้ เขาได้ไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดแล้ว แต่เมื่อครบ 15 วัน อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการส่งคำร้องมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เขาจึงใช้สิทธิในฐานะประชาชน เข้ายื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง
เนื้อหาของคำร้องโดยสรุป เกี่ยวกับเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ และการครอบครอง ครอบงำ พรรคเพื่อไทย
ก่อนหน้านี้ เรื่อง“ชั้น14 กับทักษิณ” ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ยื่นร้องต่อป.ป.ช.ไปแล้ว เพื่อเอาผิดกับหน่วยงานรัฐ คือ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กับ รพ.ตำรวจ ที่เลือกปฏิบัติ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ สืบค้น พยานหลักฐาน ใกล้สรุปผล ชี้มูล
แต่สำนวนที่ “ธีรยุทธ” ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ พุ่งเป้าไปที่ “ทักษิณและพรรคเพื่อไทย” มีพฤติกรรมเซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันฯ โดยชี้ไปที่ 6 ประเด็น ดังนี้
1. หลัง“ทักษิณ” ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้เหลือโทษจำคุก 1 ปี แต่ “ทักษิณ”ใช้พรรคเพื่อไทย เป็นเครื่องมือในการสั่งรัฐบาล ผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ รพ.ตำรวจ เพื่อเอื้อไม่ต้องอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยไปพักอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ
2. “ทักษิณ”มีพฤติกรรมฝักใฝ่ สมคบคิดกับ “ฮุนเซน” ควบคุมการบริหารของรัฐบาล ผ่านพรรคเพื่อไทย เจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเล ในเขตพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา
3. “ทักษิณ”สั่งให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือกับพรรคประชาชน เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
4. “ทักษิณ” มีพฤติกรรมเป็นเจ้าของ ครอบครอง ครอบงำ สั่งการแทนพรรคเพื่อไทย ในการเจรจากับพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล เพื่อเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เมื่อ 14 ส.ค.67 ที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้า หลังศาลรธน.วินิจฉัยให้ “เศรษฐา ทวีสิน”พ้นตำแหน่งนายกฯ
5. “ทักษิณ” ครอบงำ สั่งการให้พรรคเพื่อไทย ให้มีมติขับพรรคพลังประชารัฐ ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทย ก็ยินยอมทำตามที่สั่ง
6. “ทักษิณ” มีพฤติการณ์ เป็นผู้ครอบงำ และสั่งการให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล นำนโยบายที่ตนเองได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้ เมื่อ 22 ส.ค.67 ไปเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรี ที่แถลงต่อรัฐสภา
ทั้ง 6 พฤติการณ์ดังกล่าว “ธีรยุทธ” เห็นว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ชำรุดทรุดโทรมหรืออ่อนแอลง ตามที่ศาลรธน. ได้เคยมีคำวินิจฉัย เป็นบรรทัดฐานไว้เหมือนกรณีที่สั่งให้พรรคก้าวไกล ยุติการกระทำ และยุบพรรคก้าวไกล
ดังนั้น จึงขอให้ศาลรธน. วินิจฉัยสั่งการให้ “ทักษิณ” เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ เลิกเป็นเจ้าของครอบครองครอบงำ หรือสั่งการพรรคเพื่อไทย เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน เลิกใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือในการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ และให้พรรคเพื่อไทย เลิกยินยอมให้ “ทักษิณ” ใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำดังกล่าว
สำหรับ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” เป็นอดีตทนายความพระพุทธะอิสระ เป็นผู้ที่ยื่นร้องยุบพรรคก้าวไกล และให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” พ้นจากหัวหน้าพรรคมาแล้ว
การยื่นร้อง “ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย” ครั้งนี้ เขาแย้มว่า มีพยานบุคคล ทั้งที่บ้านจันทร์ส่องหล้า และที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ พร้อมไปให้ปากคำต่อศาลรธน. แต่ไม่ได้หวังผลไปถึงขั้นยุบพรรค เพียงแต่คาดหวังให้ศาลรธน.สั่งการให้ “ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย” ยุติการกระทำนั้นเสีย