ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ "บอสพอล" จากสลัมสู่เจ้าของเครือข่ายธุรกิจพันล้าน "ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย" จะพาดาราตัวท็อปซวยไปตามๆ กัน!?
คดีทองแม่ตั๊ก ยังไม่ซา คดีใหม่ "The Icon" ก็มา ซึ่งดูเหมือนจะ"งานใหญ่" ยิ่งกว่า ด้วยถูกระบุว่าหลอกคนให้ลงทุนโดยดึงดารานักแสดงตัวท็อป ร่วมเป็นเครือข่ายจำนวนมาก เพื่อดึงดูดประชาชนสร้างความน่าเชื่อถือ
กวาดตาดูดารานักแสดงชื่อดังที่เปิดตัวร่วมเครือข่ายก็มีตั้งแต่ "บอสกันต์" กันต์ กันตถาวร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด "บอสมิน" พีชญา วัฒนามนตรี ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร , "บอสแซม" ยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ยังมีพรีเซนเตอร์ที่เป็นดาราชื่อดังอีกหลายราย
ส่วนตำแหน่ง "บอส" ใหญ่โตเจ้าของเครือข่าย คือ “บอสพอล” หรือ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ อาณาจักรธุรกิจออนไลน์ “ดิไอคอนกรุ๊ป (The iCon Group)” ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม
“บอสพอล”มีวลีเด็ด “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย” ที่ชาวโซเชียลฯ จดจำได้
ว่ากันว่า ชีวิตวัยเด็กยากจนข้นแค้น แม่เป็นกรรมกรก่อสร้าง เติบโตมาในย่านชุมชนแออัดคลองเตย ต้องดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยงานรับจ้างสารพัด ตั้งแต่วัยเรียน เคยเป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานพาร์ตไทม์
ก่อนจะมาเป็น "บอส" พอลเคยให้สัมภาษณ์ว่า เริ่มต้นเส้นทางธุรกิจด้วยการขายกระเบื้องผ่านทางออนไลน์
จากนั้นก็สนใจในกระบวนการต่างๆ ของการขายของออนไลน์ จึงศึกษาตั้งแต่การเขียนเว็บไซต์ ไปจนถึงการใช้แพลตฟอร์ม E-Commerce ต่างๆ จนสร้างเว็บไซต์ขายกระเบื้องออนไลน์เป็นของตัวเอง
จากกระเบื้อง “พอล”เห็นโอกาสในตลาดสินค้าความงามและสุขภาพ จึงลงทุนทำผลิตภัณฑ์ ซึ่งถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นของ “The iCON GROUP”
ในปี 2564 "พอล” ระบุว่า ยอดขายของไอคอนเปิดบริษัทมาเพียง 3 ปีกว่าๆ ก็มียอดขายทะลุ 5,000 ล้านไปแล้ว
ปีนี้ ปี 2567 เครือข่ายธุรกิจของ The Icon ยิ่งขยายอาณาจักรออกไปจนมีกระแส "มีเหยื่อถูกหลอก" และกลายเป็นคดีร้องทุกข์กล่าวโทษ
ยิ่งมีดาราดังหลายคนเป็นพรีเซ็นเตอร์ และร่วมเป็น "บอส" ในเครือข่าย เรื่องราวก็เลยกลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมให้ความสนใจ
“พอล-วรัตน์พล” เคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อวาน (9ต.ค.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กโดย ระบุว่า มึนงงกับกระแสข่าว และตกใจ แต่ยืนยันทำธุรกิจขายปลีก-ขายส่ง ผ่านระบบตัวแทน ภายใต้บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป มาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่าแล้ว เชื่อมั่นว่าดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง โปร่งใส มาโดยตลอด
หลังเกิดกระแส ก็ให้ทีมงานเช็กข้อมูล ปรากฏมีหลายเคสตามที่ดรามา ต่อว่าด่าทอบริษัท
กลับไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายของตัวเอง
หลายเคสที่ขายของกับบริษัทผม แล้วได้เงินกำไรไปจำนวนมาก แต่ก็กลับมาต่อว่า ด่าทอในโลกโซเชียลฯ เช่นเดียวกัน
“พอล” ย้ำว่า ที่เงียบไปเพราะใช้เวลาเตรียมข้อมูลรวมทั้งหลักฐานต่างๆ พร้อมเข้าสู่จะกระบวนการยุติธรรม ทางกฎหมาย จะเข้าไปแสดงตัวมอบตัวกับตำรวจ ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ รอพิสูจน์ความจริง ไม่หนีไปไหนแน่นอน
เจ้าตัวระบุว่า ถ้าทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา ย่อมจะต้องได้รับโทษทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด เมื่อถึงวันนั้นค่อยด่าทอ ประณาม เหยียบย่ำได้เลย เชื่อว่าไม่ช้าเกินไป
งานนี้ บอสThe Icon เจ้าของวลี "ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย" จะพาดาราที่อยากรวยผิดที่ ซวยไปตามๆ กันหรือไม่ โปรดติดตามกันต่อไป
++ ถอดรหัส “เนวิน” กันข้าวกับ “ทักษิณ” เปิดเกมต่อรองเก้าอี้นายกฯให้ “เสี่ยหนู” เพราะ “อุ๊งอิ๊งค์” ติดบ่วงอัลไพน์
การเมืองในช่วงนี้ ที่ร้อนแรงสุดคงหนีไม่พ้น เรื่อง“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ควง “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ไปกินข้าวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีบารมีของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา
“เนวิน”กับ “ทักษิณ” ก็เหมือน “ข้ารับใช้กับนายเก่า” ที่เกิดหักหน้า หักหลังกันในทางการเมือง เลยต่างคนต่างแยกย้าย ทางใครทางมัน มาประมาณ 20 ปีแล้ว
จู่ๆ วันนี้มากินข้าวด้วยกัน คงไม่ใช่เนื่องในโอกาสวันเกิดของเนวินแน่ แต่จะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังทางการเมืองที่รอการไขคำตอบแน่
ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง อย่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ ที่คลุกคลีอยู่กับการเมืองไทยมากว่า 50 ปี มองปรากฏการณ์นี้ว่า เป็นเพราะ “ทักษิณ และ อุ๊งอิ๊งค์” สองพ่อลูกกำลังมีปัญหาใหญ่
โดยเรื่องของ “ทักษิณ” คือเรื่อง “ป่วยทิพย์” ไปอยู่ชั้น14 รพ.ตำรวจ ถูกมองว่าไม่ได้ป่วยจริง และอาจไม่ได้อยู่จริง จนถูกองค์กรอิสระอย่าง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ลงมาบี้เอง ตอนนี้เรื่องอยู่ที่ป.ป.ช. รอการชี้มูล
เรื่องทักษิณกับชั้น 14 นี้ กำลังทำให้องค์กรในกระบวนการยุติธรรมปั่นป่วน หวาดผวาไปหมด ตั้งแต่กระทรวงยุติธรรม ไปถึง กรมราชทัณฑ์ โดยเฉพาะอธิบดีกรมราชทัณฑ์ คนปัจจุบัน
ส่วนเรื่องของ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนั้น กำลังมีปัญหาเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ และ เรื่องนี้อาจโยงไปถึง “คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร” มารดา ของนายกฯอุ๊งอิงค์ ด้วย เพราะมีหลักฐานการถือหุ้นชัด
ถ้าเรื่องนี้ถูกชี้มูลความผิด ส่งไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ แล้วศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดจริง “อุ๊งอิงค์” จะไม่เพียงต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่จะมีคดีอาญา พ่วงเข้ามาด้วย
แต่ถ้า “นายกฯอุ๊งอิ๊งค์” ลาออกก่อนที่เรื่องจะถึงมือศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการพิจารณาวินิจฉัย เรื่องก็ถูกตัดจบ เลิกแล้วกันไป
นั่นคือที่มาของการกินข้าวครั้งนี้
วิเคราะห์ตามบริบทของคณิตศาสตร์การเมือง พรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนูและเนวิน” นอกจากจะมี สส. 71 เสียง แล้วยังมี “สว.สายสีน้ำเงิน” อีกประมาณ 150 เสียง ดังนั้น จึงเหมือนถือไพ่เหนือว่าทางฝ่ายทักษิณ เพราะสว.นั้นเป็นผู้อนุมัติ หรือ ไม่อนุมัติ ให้กรรมการองค์กรอิสระที่ผ่านกระบวนการสรรหามาแล้วเข้าทำหน้าที่ และตอนนี้มีหลายองค์กรที่อยู่ระหว่างรอการแต่งตั้ง
และสองพ่อลูก “ทักษิณ-อุ๊งอิงค์” ต่างก็มีเรื่องร้องเรียนอยู่ในมือองค์กรอิสระเสียด้วย
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทักษิณ มีจำนวน สส. 141 คน จึงถือว่าได้เปรียบในเกมสภา
ดังนั้น จึงต้องมาเจรจาต่อรองกัน โดยทางฝั่ง “เนวิน” ต้องการให้ “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ ต้องลาออก ไม่ใช่ไปเอา “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยอีกคน มาเสียบแทน
การกินข้าวครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเจรจาปูทางไว้ก่อน เมื่อทางฝ่ายเนวิน ต้องการให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯ ทางฝ่าย “ทักษิณ” ก็ต้องต่อรองเอากระทรวงสำคัญมาอยู่ในมือ
นอกจากนี้ ทางฝ่ายทักษิณ ก็จะลากยาวไปก่อน ให้ “อุ๊งอิ๊งค์” อยู่ในตำแหน่งนายกฯให้นานที่สุด จนใกล้ถึงเวลาปิดคดีค่อยลาออก
ดังนั้น เชื่อว่า “อนุทิน” จะยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในเร็ววันนี้
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนนอกนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ แทบว่าจะปิดประตูไปเลย
สำหรับอาวุธอีกอย่างที่อยู่ในมือของ “นายกฯอุ๊งอิงค์” คือยุบสภานั้น มีแต่จะทำให้ทุกฝ่ายพัง ถ้าตัดสินใจทำอย่างนั้นจริง “ตระกูลชินวัตร” จะถูกตอบโต้อย่างรุนแรง