xs
xsm
sm
md
lg

“ณัฐวุฒิ”เอฟเฟกต์แรง ตัวช่วยหรือตัวถ่วง !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - จตุพร พรหมพันธุ์
เมืองไทย 360 องศา

ไม่น่าเชื่อว่าการแต่งตั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กลับสร้างผลกระทบกลับมาในทางลบอย่างรุนแรง จากเดิมที่เชื่อว่าการมาของเขาจะช่วยสร้างความเข้มแข็ง หรืออย่างน้อยเป็นตัวช่วยในการต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามได้ดีกว่าเดิม แต่ผิดคาด เพราะพลันที่เข้ามานั่งไม่ทันไร เสียงเสียงด่าทอ เหยียดหยามก็ดังระงม ส่วนใหญ่ก็ล้วนมาจากคนกันเอง หรือเคยร่วมแนวทางเดียวกันมาก่อน

ก่อนหน้านี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เหตุผลถึงการตั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เกี่ยวข้องกับการตอบโต้เรื่องการชุมนุม หรือการเมืองโดยเฉพาะเลยหรือไม่ว่า อันนี้อาจจะเป็นเวลาที่พอดี แต่ไม่เกี่ยวกัน เนื่องจากได้ทำงานร่วมกันในสมัยเป็นครอบครัวเพื่อไทย และเห็นความสามารถหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง การบริหารจัดการที่ให้คำปรึกษาตนมาโดยตลอด จึงคิดว่าไทม์มิ่งตรงนี้เหมาะกับนายณัฐวุฒิ ที่จะเข้ามาทำงานพอดี และนอกรอบได้พูดคุยปรึกษากันเรื่อยๆ และคิดว่า น่าจะทำประโยชน์ได้เยอะ

ขณะที่ ณัฐวุฒิ กล่าวหลังได้รับตำแหน่ง ยืนยันจำได้ว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้เมื่อปีที่แล้ว แต่ตำแหน่งนี้ไม่ได้มีอำนาจ ไม่มีค่าตอบแทน มีแค่ให้ข้อคิดเห็นในประเด็นที่นายกฯมอบหมาย ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง “ยอมกลืนเลือด” กลืนทุกอย่าง แต่มันมาพร้อมกับการเรียนรู้ ที่จะอยู่กับความเป็นจริงทางการเมือง ตนมีเหตุผลของตัวเอง จึงตัดสินใจในสถาการณ์เช่นนี้ และไม่ต้องการปิดบังกับประชาชน

อย่างไรก็ดี ปฏิกิริยาการแต่งตั้ง นายณัฐวุฒิ เพื่อมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว กลับได้รับการวิจารณ์อย่างรุนแรงจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะบรรดาที่เคยเป็นพันธมิตรกันมา ในทำนองว่า เขา “ตระบัดสัตย์” หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเขาประกาศแยกทางกับพรรคเพื่อไทย หลังจากที่มีการ “ข้ามขั้ว” ตั้งรัฐบาล และเคยย้ำว่า ไม่ร่วมกับพรรค “สามป.” แต่กลายเป็นว่า เวลานี้เขากลับไปนั่งอยู่ในใจกลางของรัฐบาลที่มีพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ที่ส่วนหนึ่งมีรัฐมนตรีที่เชื่อมโยงกับ สามป. ดังกล่าว

แต่ที่น่าสนใจก็คือ การให้ความเห็นของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ซึ่งเป็นอดีตแกนนำนปช. และเคยร่วมชุมนุมทางการเมือง ที่เป็นเหมือน “คู่หู” กันมา กล่าวถึงการตั้ง นายณัฐวุฒิ ว่า คงไม่สามารถทำให้ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร รอดพ้นจากวิบากกรรมการเมือง และไปเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขัดกฎหมายได้ เพราะเป็นการกระทำที่สำเร็จเบ็ดเสร็จแล้ว

นายจตุพร กล่าวถึงการคาดการณ์ โดยหวังให้ นายณัฐวุฒิ มาเผชิญหน้ากับการชุมนุมบนถนนว่า รัฐบาลเพื่อไทยและเขาผู้อยู่เบื้องหลังคงไม่เริ่มสงครามกันเร็วๆ นี้ เพราะตนรู้นิสัยกันอย่างดี และที่สำคัญการเป็นที่ปรึกนายกฯ ได้สวนทางกับสิ่งที่นายณัฐวุฒิ เคยตะโกนยำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ เมื่อช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 66 อย่างเละเทะที่สุดมาแล้ว อีกอย่างยังปราศรัย ไล่หนู ตีงูเห่า ไม่เอาพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พร้อมลงใต้หาเสียงกระทืบพรรคประชาธิปัตย์ด้วย

หลังการเลือกตั้งแล้ว เมื่อพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ส่วนนายณัฐวุฒิ ประกาศด้วยน้ำตาคลอเบ้า ที่ลาออกจาก ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย เพื่อยึดมั่น แม้รักแต่ไปต่อไม่ได้ จนผู้คนยกย่อง สรรเสริญเยินยอ ชื่นชมจุดยืน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้น ตนเคยท้วงติงพฤติการณ์ของนายณัฐวุฒิ ว่าไม่ควรทำหน้าที่แค่เป็นคนมายืนส่งรัฐบาลเพื่อไทย ไปตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว แต่ต้องขัดขวางการตระบัดสัตย์ ซึ่งเคยประกาศสัญญาระหว่างหาเสียงไว้จึงจะถูกต้องกว่า แล้วตนก็ถูกพวก นางแบก นายแบก รุมยำมากมาย

กระทั่งมีประกาศเมื่อ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา นายกฯ ตั้งนายณัฐวุฒิ เป็นที่ปรึกษา ได้เข้าร่วมขบวนการคนตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว แล้วยังอธิบายพฤติการณ์ และจุดยืนตัวเองว่า ต้องคิดใหม่ ยอมกลืนเลือด ซึ่งน่าจะเป็นน้ำลายเน่าบูดมากกว่า

นายจตุพร กล่าวว่า นายณัฐวุฒิ มารับตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ เท่ากับเสียคำพูดสองขยัก คือครั้งแรกถ้าไปร่วมกับรัฐบาลนายเศรษฐา ตามคำชวนแล้วก็ตระบัดสัตย์ครั้งเดียว แต่วันนั้นทำตัวหล่อขอเป็นคนยืนส่ง คนจึงสดุดีจุดยืน แต่วันนี้กลับไปร่วมขบวนการกลืนน้ำลายข้ามขั้ว จึงเป็นคนโกหกสองขยัก

“ผมเห็นว่า การตั้งบุคคลไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใดๆ ได้ แต่สิ่งที่ได้กลับคือการเสียคน แต่พวกติ่งรัฐบาลกล่าวหาว่าผมอิจฉา จะเล่าให้ฟังให้หายบ้าว่า ผมหันหลังให้เพื่อไทย แยกทางทักษิณ (ชินวัตร) เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จะไปอิจฉาเขาได้เป็นอะไรทำไม ทั้งที่เขาผิดคำพูด ยอมกลืนเลือด กลืนทุกอย่าง แล้วมีอะไรที่น่าอิจฉาบ้าง นอกจากความสมเพชเวทนา”

กลายเป็นว่า เวลานี้แทบทุกฝ่ายต่างรุมถล่ม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นจุดเดียว โดยกระทบชิ่งไปถึง นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อีกด้วย พร้อมกันนี้ยังได้ขุดเรื่องราวเก่าๆ ของนายณัฐวุฒิ ขึ้นมาวิจารณ์ซ้ำอีก ทำให้เครดิตเสียหาย หรือถูกมองในทางลบ โดยเฉพาะคำพูดปริศนาของ นายจตุพร ที่ถือว่ามีน้ำหนักในแบบรู้ไส้รู้พุงกันมาก่อน พุ่งตรงไปในเรื่อง “เงินบริจาค” ในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดงจำนวน 42 ล้านบาท โดยตั้งคำถามไปที่ นายณัฐวุฒิ

เวลานี้เหมือนกับว่า จากเดิมที่คิดว่าเขาจะมาช่วยแก้วิกฤติ มารับมือกับม็อบขับไล่รัฐบาล ที่คาดว่ากำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานข้างหน้า แต่มาวันนี้เหมือนกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลายเป็น “ตัวถ่วง” รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี เพราะคำว่า “ตระบัดสัตย์” หรือ ที่บางคนเรียกว่า “กลืนน้ำลาย” นั่นเอง

อย่างไรก็ดี ที่น่าจับตาก็คือ แรงสั่นสะเทือน หรือ “ณัฐวุฒิเอฟเฟกต์” กำลังสร้างปัญหาให้กับ น.ส.แพทองธาร แบบคาดไม่ถึง ว่าจะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งเชื่อว่าเจ้าตัวก็คงไม่คาดคิดมาก่อนเหมือนกัน แต่เมื่อสำรวจปฏิกิริยาที่ออกมาล้วนมาในทางเดียวกัน นั่นคือ รุมถล่มเข้ามาทุกทิศทาง มันก็เหมือนกับว่า เขากลายเป็น “ตัวถ่วง” ดีๆ นี่เอง

ขณะเดียวกัน เมื่อสภาพเป็นอย่างที่เห็น มันก็พอมองเห็นภาพแล้วว่า เมื่อตัวเอง “ไร้เครดิต” จนแทบไม่มีราคา มันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะทำหน้าที่ “แบก” คนอื่น เพราะตัวเองแทบจะเอาตัวไม่รอด และที่สำคัญ อาจทำให้ นายกรัฐมนตรี ที่เป็นคนแต่งตั้งพาซวยไปด้วย เพราะล่าสุดมี “นักร้อง” ไปยื่นร้องว่า เป็นการแต่งตั้งที่มิชอบ ขาดจริยธรรม เนื่องจากเคยถูกพิพากษาจำคุกมาก่อน แม้ว่าเรื่องแบบนี้คงไม่สรุปง่ายๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็น ครั้งนี้มันหนักกว่าที่คิด!!



กำลังโหลดความคิดเห็น