xs
xsm
sm
md
lg

ส่อง ผบ.ตร.คนใหม่ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ กับภารกิจเร่งด่วน ปราบยาเสพติด–แก๊งคอลเซ็นเตอร์ -กู้ศรัทธาองค์กร ** นายกฯอิ๊งค์ ตั้ง "อำมาตย์เต้น" เป็นกุนซือ เอาไว้ทำสงครามน้ำลายกับ “ไพร่ตู่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร -พล.ต.อ กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ -จตุพร พรหมพันธุ์ - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ข่าวปนคน คนปนข่าว

++ ส่อง ผบ.ตร.คนใหม่ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ กับภารกิจเร่งด่วน ปราบยาเสพติด–แก๊งคอลเซ็นเตอร์ -กู้ศรัทธาองค์กร

“น.ส.เเพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ครั้งที่ 8/2567 เมื่อวานนี้ (7ต.ค.) โดยวาระที่ถูกจับตามองมากที่สุดก็คือ การคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.

ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. อาวุโส อันดับ 1 เป็น ผบ.ตร.คนใหม่
“บิ๊กต่าย” เป็นหนึ่งใน 3 จากผู้ที่มีชื่อเข้าข่ายได้รับการแต่งตั้ง ได้แก่ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” อาวุโส ลำดับ 1 “พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง” จเรตำรวจแห่งชาติ อาวุโสลำดับ 2 และ “พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์” รอง ผบ.ตร. อาวุโสลำดับ 3

งานนี้ก็ต้องบอกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ "บิ๊กต่าย" น่าจะกลับมาสู่ความเป็น “ตำรวจมืออาชีพ” จริงจังเสียที หลังจากมี “นายตำรวจใหญ่” สองคนทำเสียศรัทธามาในห้วงปีสองปีที่ผ่านมา

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” คนราชบุรี จะมีเวลาทำงานอยู่ราวสองปีนับจากนี้ จะเกษียณอายุราชการในปี 2569 เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 25 รุ่นเดียวกับ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 41 รุ่นเดียวกับ “พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ” เลขาธิการ ป.ป.ส. “พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง” “พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี” ผู้ช่วย ผบ.ตร.

หลังจบโรงเรียนนายร้อย “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” เริ่มต้นรับราชการตำรวจ ในตำแหน่ง รองสารวัตรสอบสวน สภ.อ.เมืองระยอง จากนั้นค่อยๆ เติบโตในหน้าที่การงาน โดยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ ผู้กำกับการ 6 และ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ผู้กำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจน้ำ ผู้กำกับการ 3 ตำรวจท่องเที่ยว ก่อนขยับเป็นรองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์

“บิ๊กต่าย” ติดยศ พล.ต.ต.ในตำแหน่งเลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนโยกเป็นผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 1 ขยับขึ้นรองจเรตำรวจ (สบ7) ก่อนโยกเป็น รองผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล

จากนั้นขยับติดยศ พล.ต.ท.ในตำแหน่ง ผบช.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร. ก่อนโยกเป็น ผบช.ภ.8 แล้วขยับขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร. และ ได้ติดยศ พล.ต.อ. ครั้งแรก ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานบริหาร ควบตำแหน่งหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ภาระหน้าที่ของ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. อยู่ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ควบตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปทส.ตร.) และศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.)

นอกจากนี้ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” เคยเป็นนายเวร “พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้” สมัยดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. และเป็นหัวหน้าสำนักงานของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” สมัยดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” ยังขึ้นมารักษาราชการแทนตำแหน่ง ผบ.ตร. ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี หลัง “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ถูกย้ายไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567

เมื่อพิจารณาดูจากโปรไฟล์ เส้นทางการรับราชการ และผลงานที่ผ่านมาของ "บิ๊กต่าย" ก็ต้องบอกว่า สามารถทำงานตอบสนองนโยบายรัฐบาลด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านการปราบปรามยาเสพติด พนันออนไลน์ รวมทั้งปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการฉ้อโกงออนไลน์ จนได้รับคำชมจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น

มาถึงยุค “นายกฯอุ๊งอิ๊งค์” ได้ตั้งความหวังกับผบ.ตร.คนใหม่ ในการปราบปรามยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็เชื่อว่า “บิ๊กต่าย” จะตอบโจทย์ได้ดีเช่นกัน

ส่วนในด้านอุปนิสัย “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” เป็นคนอัธยาศัยดี เป็นที่รักของเพื่อนร่วมรุ่น และผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นที่ประจักษ์ รับรู้โดยทั่วกัน ในช่วงที่ก้าวขึ้นมา รักษาราชการแทน ผบ.ตร.

เพราะฉะนั้น พูดได้ว่า "บิ๊กต่าย" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ คนนี้นี่แหละที่ใช่!

จตุพร พรหมพันธุ์ - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
++ นายกฯอิ๊งค์ ตั้ง "อำมาตย์เต้น" เป็นกุนซือ เอาไว้ทำสงครามน้ำลายกับ “ไพร่ตู่”

บัดนี้ “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้กลับคืนสู่ศูนย์กลางอำนาจรัฐอีกครั้ง เมื่อ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ลงนามแต่งตั้งให้เป็น “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี”

แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งข้าราชการการเมือง เพราะติดขัดที่ “คุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้าม” แต่ก็สามารถเข้านอกออกในทำเนียบรัฐบาล ได้ตามใจนึก

ก่อนหน้านี้ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง 2566 “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของนายใหญ่ เพิ่งโดดเข้าสนามการเมือง ยังไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค จึงใช้วิธีเลี่ยงบาลีให้มีตำแหน่งเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ส่วน “เต้น ณัฐวุฒิ” ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ได้รับอวยยศให้เป็น “ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย” ใส่เสื้อแดง เดินสายไปช่วยปราศรัยแทบทุกเวที ประกาศชัด ทั้งสีหน้า ท่าทาง มือไม้ว่า พรรคเพื่อไทย “ไม่เอาลุง”

หลังเลือกตั้ง “พรรคเพื่อไทย” ดันไปจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ “พรรคพลังประชารัฐ” ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

“เต้น” เลยต้องลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย แล้วไปเปิดร้านอาหาร “เยี่ยมใต้” ซึ่งก็มีแฟนคลับ นักการเมือง แวะเวียนไปพบปะ รับประทานอาหาร สนทนากันพอสมควร

การได้รับแต่งตั้งให้เป็น “กุนซือ” ของ “นายกฯอิ๊งค์” ครั้งนี้ คงไม่ใช่เพื่อมาให้คำปรึกษาเรื่องการเกษตร หรือ การค้า ตามที่ “เต้น” เคยเป็นรัฐมนตรีเกษตรฯ หรือ รัฐมนตรีพาณิชย์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาก่อน

เพราะนั่นเป็นแค่การปูนบำเหน็จ ใช่ว่าเชี่ยวชาญในงานที่รับผิดชอบ!!

“รัฐมนตรีเต้น”เคยถูกนักข่าวกระทรวงพาณิชย์ ไล่ต้อนจนหน้าถอดสี เหงื่อแตกเป็นเม็ดข้าวโพด ตอบไม่ได้เรื่องตัวเลขขาดทุนของโครงการจำนำข้าว มาแล้ว

แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้นช่วงการชุมนุมของ “กลุ่มเสื้อแดง” ต้องยอมรับว่าคู่หู “ตู่-เต้น” เป็นตัวชูโรง เรียกแขก

เพียงแต่ช่วงเสร็จศึก “ยิ่งลักษณ์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี “เต้น” ได้ขึ้นวอ เป็น “อำมาตย์” ในตำแหน่งรัฐมนตรี ส่วน “ตู่” ยังคงเป็น “ไพร่” ตามเดิม

และต่อมาเมื่อ“ตู่” ต้องเข้าไปรับโทษในเรือนจำ จากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็รู้เช่นเห็นชาติว่าคนอย่าง “ทักษิณ” นั้นเนื้อแท้เป็นอย่างไร

เมื่อพ้นโทษออกมา จึงเริ่มปฏิบัติการสางแค้น ถอดหน้ากาก ลากไส้ทักษิณ ให้สังคมได้เห็น

โดยเฉพาะเมื่อ “ทักษิณ” กลับมาขับเคลื่อนการเมืองอยู่เบื้องหลัง “อุ๊งอิ๊งค์” จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย “ตู่” ก็ยังคงรุกหนัก

คราวนี้พุ่งเป้าไปที่ “นายกฯอิ๊งค์” ยิ่งเมื่อมีกรณี “นายกฯไอแพด” ก็ยิ่งเข้าทางที่จะได้ใช้วาทกรรมเชือดเฉือน

“ตู่ จตุพร” ยังประกาศเอาไว้ว่า เมื่อไรที่รัฐบาลแพทองธาร เปิดให้มีกาสิโนคอมเพล็กซ์ จัดทำโครงการแลนด์บริดจ์ให้ทุนต่างชาติฮุบที่ดิน 3 แสนไร่ เป็นเวลา 99 ปี เมื่อนั้นจะเคลื่อนไหวนำมวลชนลงถนนทันที

แต่ในช่วงที่ยังเป็นแค่ “สงครามน้ำลาย” กันอยู่นี้ ลำพังแค่ “จิรายุ ห่วงทรัพย์” ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่ “โทรโข่ง” รัฐบาล คงเอาไม่อยู่ เพราะคนนี้ถนัดในทางยกมือพนม

นี่จึงน่าจะเป็นเหตุผลแท้จริงที่ “นายกฯอิงค์” ต้องตั้ง “อำมาตย์เต้น” เป็นกุนซือข้างกาย ไว้รับมือกับ “ไพร่ตู่”


กำลังโหลดความคิดเห็น