“ทนายอั๋น” บุก กกต.ส่องไฟฉายหาความยุติธรรม หลัง “แสวง” อุ้มภูมิใจไทย บอกปมรับเงินบริจาค หจก.บุรีเจริญไม่ส่งผลให้ยุบพรรค เหน็บทำตัวเป็นทนายแก้ต่างแทน มอบใบแต่งตั้งทนายมาฝาก ขู่แน่จริงมีความเห็นชี้ชัดไม่ผิด เตรียมฟ้องภายใน 7 วัน ไม่ฟ้องเรียก “หมา” ได้เลย
วันนี้ (2 ต.ค.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ พร้อมมวลชนเดินทางมา กกต.ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์หลังนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ให้สัมภาษณ์ระบุว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ถือหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ซึ่งมีการบริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรค โดย นายภัทรพงศ์ ได้นำไฟฉายมาฉาย พร้อมกับระบุว่า “ที่ กกต.มันมืดมนไม่เห็นแสงสว่างแห่งความยุติธรรม จึงต้องชวนพี่น้องที่เห็นเหมือนกันมาฉายไฟฉายที่นี่” พร้อมทั้งนำแผนภาพแสดงที่มาที่ไปของเงิน หจก.บุรีเจริญ ที่บริจาคเข้าพรรคภูมิใจไทย และตนเองเห็นว่า สามารถเอาผิดยุบพรรคภูมิใจไทยได้นำมาประกอบการแถลงข่าว
โดย นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า ตนยื่น กกต.ขอให้พิจารณายุบพรรคภูมิใจไทยวันที่ 19 ม.ค. 2567 หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยสั่งให้นายศักดิ์สยาม พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากให้นอมินีไปถือหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ หลังจากนั้น 1 เดือน นายเรืองไกร มายื่นยุบพรรคก้าวไกล และวันนี้ กกต.ยื่นยุบพรรคก้าวไกลจนพรรคกลายเป็นฝุ่น และมีการตั้งพรรคใหม่ไปแล้ว แต่กับพรรคภูมิใจไทยหลังตนยื่นคำร้อง ได้มาติดตามความคืบหน้าถึง 3 ครั้ง ล่าสุดคือ เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 67 มายื่นทวงถาม และบอกว่า หากล่าช้าก็จะยื่นฟ้อง กกต. แต่อยู่ดีๆ นายแสวง ซึ่งไม่เคยพูดกรณีนี้มาก่อนเลย กลับให้สัมภาษณ์ในช่วงสุดสัปดาห์ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในคดีของนายศักดิ์สยาม ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคภูมิใจไทย และบอกว่า ไม่มีหน่วยงานไหนที่ชี้ว่า เงินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ บริจาคเข้าพรรคภูมิใจไทยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตนเห็นแย้ง เพราะ หจก.บุรีเจริญ ให้นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ เป็นนอมินีถือหุ้นแทน และระหว่างปี 2562-2565 นายศักดิ์สยาม ซึ่งเป็น รมว.คมนาคม หจก.บุรีเจริญ ได้งานสร้างถนนจากกระทรวงคมนาคม รวม 53 โครงการ มูลค่ารวม 2,200 กว่าล้านบาท โดยพบว่าเงินดังกล่าวมีการนำไปบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทย ที่นายศักดิ์สยาม เป็นรองหัวหน้าพรรคอยู่ โดยปี 2562 บริจาคเงิน 2 ครั้งรวม 7.5 ล้าน และปี 2565 บริจาคเพิ่ม 6 ล้านบาท รวม เป็น 13 ล้านบาทเศษ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชัดเจนว่า หจก.บุรีเจริญ เป็นของนายศักดิ์สยาม มาโดยตลอด รวมทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมก่อนปี 62 บริษัทนี้ไม่บริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย แต่พอนายศักดิ์สยาม โอนหุ้นให้กับนายศุภวัฒน์ กลับมีการบริจาคถึง 13 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อพิรุธข้อสงสัย ซึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 72 บัญญัติห้ามมิให้พรรคการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน โดยรู้หรือควรรู้ ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำไมนายแสวง ไม่อ่านกฎหมายมาตรานี้
“เงิน 2,200 ล้านบาท ที่ หจก.บุรีเจริญ ได้มาจากกระทรวงคมนาคม โดย นายศักดิ์สยาม นั่งเป็นรัฐมนตรี ผมอาจไม่ต้องพูดว่าเงินนั้นชอบหรือไม่ชอบด้วย แต่อย่างน้อยมันควรมีเหตุสงสัยหรือไม่ ข้อความเหล่านี้ขอโทษเถอะครับ นายแสวง มึงไม่พูดเลยหรือ พูดแต่ว่าการที่จะยุบพรรคการเมือง เงินบริจาคต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่หน้าที่ของกกต.คือการรวบรวมข้อมูลหลักฐานแล้วส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญทำการวินิจฉัย แต่พฤติการณ์ของนายแสวง กลับเป็นทนายความแก้ต่างให้กับพรรคภูมิใจไทย วันนี้ผมจึงต้องนำใบแต่งตั้งทนายความให้พรรคภูมิใจไทยแต่งตั้งนายแสวง เป็นทนายความเสียเลย” นายภัทรพงศ์ กล่าวพร้อมกับชูภาพใบแต่งตั้งทนายความจำลอง ที่จะนำมามอบให้กับนายแสวง และกล่าวว่า ก่อนหน้าที่นายแสวง จะให้สัมภาษณ์ ตนร่างคำฟ้องที่จะฟ้อง กกต. ซึ่งคิดว่าการฟ้องอาจจะมีน้ำหนักน้อยเพราะไม่รู้ว่าจะไปหาหลักฐานที่ไหนมาชี้ว่า กกต.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร แต่เมื่อนายแสวงให้สัมภาษณ์เช่นนี้ จึงขอท้าให้นายแสวง แน่จริงทำความเห็นเสนอวันนี้เลยว่าไม่ยุบพรรคภูมิใจไทย แล้วถ้าภายใน 7 วัน หลังจากนั้น ตนไม่ไปยื่นฟ้องนายแสวง และ กกต. ให้มาเรียกตนว่า เป็น “หมา” ได้เลย
นายภัทรพงศ์ ยังยกตัวอย่างคดีฉ้อโกงทองของแม่ตั๊ก เปรียบเทียบว่า เงินที่แม่ตั๊กได้มา หากแม่ตั๊กไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินเหล่านั้นได้มาอย่างไร โดยชอบหรือไม่ ปปง.จะสั่งริบเงินเข้าเป็นของหลวง แต่ทำไมเงินค่างานที่ หจก.บุรีเจริญ ได้จากกระทรวงคมนาคม 2,200 ล้านบาท นายแสวง กลับจะมาบอกว่าเป็นเงินที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่คนที่มีหน้าที่ตอบจริงๆ คือ นายศักดิ์สยาม และ หจก.บุรีเจริญ แต่วันนี้นายแสวงกลับทำแทนเสียทุกอย่าง แล้วยังมีหน้ามาพูดว่า อย่ามาว่าตนเลยเพราะขณะนี้ย้ายสำมะโนครัวมาเป็นคนกรุงเทพฯแล้ว ก็ตอนนี้ นายแสวง เป็น “เสี่ยแสวง” มีเงินตั้ง 47 ล้านบาท จะเกษียณปีหน้า จะอยู่บ้านนอกเซาะกราวทำไม ก็ไปใช้ชีวิตหรูอยู่สบายที่กรุงเทพฯดีกว่า
จากนั้น นายภัทรพงศ์ ได้ไปยื่นเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ กกต.โดยแจ้งว่าต้องการขอพบนายแสวงสัก 5 นาที แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าต้องทำหนังสือขอเข้าพบยื่นล่วงหน้ามาก่อน โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานงาน และมีผู้อำนวยการสำนักบริหารทั่วไปลงมาเพื่อที่จะรับเรื่อง แต่ นายภัทรพงศ์ ระบุว่า ไม่ได้มายื่นร้องเรียน แต่ต้องการยื่นใบแต่งตั้งทนายความจำลองมาให้ถึงมือนายแสวง ซึ่งทาง ผอ.ระบุว่า มีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนเท่านั้น ไม่สามารถรับเอกสารอื่นได้ นายภัทรพงศ์ จึงได้ฝากใบแต่งตั้งทนายความดังกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับร้องเรียนแทน