ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ษิทรา” ทนายเพื่อโจ๊ก อ้าง 10 ล้านไม่คุ้ม ไม่เอาชีวิตมาเสี่ยงบี้ “บิ๊กแป๊ะ” เรื่องของคนไร้ศักดิ์ศรี คิดสร้างราคา !
การเคลื่อนไหวล่าสุดของ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ต้องบอกว่า ตอกย้ำ ทนายผู้นี้เปลือยตัวตนล่อนจ้อน ยอมทิ้งศักดิ์ศรีพลีชีพเพียงเพื่อช่วย “โจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เหตุผลที่ยกมาอธิบายว่า “ไม่ได้รับงานโจ๊ก หรือโจ๊ก จะต้องให้อะไรที่ถึงขนาดต้องเอาชีวิตตัวเอง ชีวิตครอบครัวมาเสี่ยง”
“ถ้าเกิดว่าผมตายไป ทุกอย่างมันก็สูญสิ้น ไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้ใครคนใดคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะสนิทด้วยขนาดนี้”
จ้าพูดเองแบบนี้ ยิ่งทำให้ “คนนินทา หมาดูถูก” เพราะในมุมกลับหาก “ทนายตั้ม” ไม่ทำเพื่อ “โจ๊ก”
ตัวเองคงชั่งน้ำหนักแล้วน่าจะเสี่ยงชีวิตเสียมากกว่า! ระหว่าง “โจ๊ก-ทนายตั้ม” สองคนนี้เป็นมากกว่าคนรู้จักสนิทสนมกันธรรมดา ต่างกุมความลับซึ่งกันและกัน และสั่งสมประโยชน์ร่วมกันมา ษิทราก็ยอมรับหน้าชื่นตาบาน อุปมาดั่ง ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ “บีบไข่” ซึ่งกันและกันเอาไว้ แล้วยังมีอะไรที่จะต้องเสี่ยงมากกว่ากันถ้าปล่อยให้โจ๊กแฉ ใช่หรือไม่!? นี่ต้องถามใจ “ทนายตั้ม”
โจ๊ก และทนายตั้ม หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันมานานแล้ว ใครที่เป็นศัตรูกับโจ๊ก ก็ต้องเป็นทนายตั้มออกฟาดฟันรับลูกกันอย่างกรณีของ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่โจ๊กมองเป็นปรปักษ์ ต้องหักหาญ ทั้งๆ ที่ “บิ๊กแป๊ะ” เป็นหนึ่งใน “ผู้มีพระคุณ” กับ “โจ๊ก”
ถามว่า “บิ๊กแป๊ะ” มีพระคุณกับโจ๊กแค่ไหน!? ก็ต้องบอกว่า ถ้าโจ๊กไม่มีบิ๊กแป๊ะสนับสนุน ก็ยังคงเป็นนายตำรวจ
ธรรมดาๆ เท่านั้น
“โจ๊ก” แทนที่จะกตัญญูรู้คุณ กลับเห็น “บิ๊กแป๊ะ” เป็นศัตรู จากจุดเปลี่ยนที่ถูกเด้งพ้น สตช.สมัยรัฐบาลลุงตู่ โดยเชื่อว่า “บิ๊กแป๊ะ” อยู่เบื้องหลังรวมไปถึงโครงการ “ไบโอเมตริกซ์”
จากได้ครับพี่ ดีครับผม จาก “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” จึงเกิดเป็นไฟแค้นสุมอก เมื่อลูกพี่โจ๊กอาฆาตแค้นบิ๊กแป๊ะ “ทนายตั้ม” จึงถูกใช้ไม่ต่างกับ “ม้าใช้” โจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า
ครั้งล่าสุด ออกมาพูดกับสื่อตอบคำถามทำไมจึงโจมตี “บิ๊กแป๊ะ” และปฏิเสธว่าไม่ได้รับงาน “โจ๊ก” “ทนายตั้ม” อ้างว่า เพราะคดีของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ล่าช้ากว่าของชาวบ้าน จึงต้องออกมาจี้หน่วยงานที่ทำคดี
โดยยกตัวอย่างคดี “ไบโอเมตริกซ์” คดีของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่ ป.ป.ช.ที่ตัวเองยื่นร้องเรียนตั้งแต่ปี 2562 ประเด็นนี้ อ้าปากก็ประจานตัวเอง...อะไรที่บอกว่า ป.ป.ช. ล่าช้า!? “ทนายตั้ม” ไม่รู้เลยหรือ ป.ป.ช.มีขั้นมีตอนในการทำงาน
จากคณะเล็กไปคณะใหญ่ การสอบสวนก็เป็นไปตามขั้นตอนปกติ ตรงกันข้าม ข้อร้องเรียนที่ “ยัดข้อกล่าวหา” และพฤติการณ์ของกรรมการบางคน ป.ป.ช.ที่สนิทสนมกับโจ๊ก
ในสมัยของ “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” นั่งเป็นประธาน ไม่เปิดโอกาสให้ “บิ๊กแป๊ะ” ได้ชี้แจงด้วยซ้ำ เห็นได้ชัด “ษิทรา” พูดเอาหล่อ แต่ให้ร้ายคนอื่นมากกว่ามีเจตนาดี
ถ้าเจตนาบริสุทธ์ิ ทำไม “ษิทรา” ไม่ไปเรียกร้องคดีโจ๊ก ใน ป.ป.ช.บ้างล่ะ เพราะ ล่าช้ากว่าคดีชาวบ้านเห็นๆ ใช่หรือไม่!? แถมคดีโจ๊กล่าช้า เพราะเจ้าตัวจงใจดึงเวลาเตะถ่วงคดี เพราะมักจะยื่นแย้ง อ้างยื่นขอความเป็นธรรมแทบทุกคดี เป็นเหตุให้คุณะกรรมการ ป.ป.ช. พอจะพิจารณาก็สะดุดด้วยแท็กติกของโจ๊ก และพรรคพวก
แม้แต่เรื่องพิจารณา “วินัยร้ายแรง” ที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง โดย “พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช” รอง ผบ.ตร.เป็นประธาน โจ๊กก็ร้องทุกท่า ทำให้การพิจารณาล่าช้า เสียเวลามาเกินกว่าที่ควรจะเป็น
“ทนายตั้ม” เบาปัญญาหรืออะไรปิดหูปิดตาไว้ ดูไม่ออกหรือ!? มีความล่าช้าแบบนี้แล้วทำไมไม่ไปจี้คดีโจ๊ก ตอบได้หรือไม่!
“ษิทรา” ยังให้สัมภาษณ์ คดีบิ๊กแป๊ะ ไบโฮเมตริกซ์ ได้ข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่หญิงของ สตม. จึงต้องร้องเรียน ป.ป.ช. เพราะเป็นพลเมืองดี
ใครได้ฟังไม่รู้เบื้องหลังก็คงจะชื่นชมทนายคนดีศรีสังคม แต่หากรู้ว่าความจริงก็เชื่อได้ว่าจะหัวร่องอหงาย “ตั้มการละคร” ไม่เนียนต้องไปเรียนมาใหม่
เพราะงานนี้เป็นเรื่อง “สมคบคิด” โดยไตร่ตรองไว้ก่อนของโจ๊ก และพลพรรค เพราะ ความจริงมีหนึ่งเดียว หาก “โจ๊ก-ทนายตั้ม” ไม่รู้กันมาตั้งแต่ต้น ทำไมในคอมพิวเตอร์ของ “รองคริษฐ์” พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ตำรวจพ่อบ้านของโจ๊ก จึงถูกตรวจสอบพบว่า มีหนังสือร้องเรียนไบโอเมตริกซ์ ที่ “ทนายตั้ม เอาไปร้อง ป.ป.ช.เด๊ะๆ !”
มิหนำซ้ำหนึ่งในพยานของทนายตั้มที่เข้าให้การกับ ป.ป.ช. ก็คือ “โจ๊ก-สุรเชชษฐ์” ล้วงลึกไปกว่านี้ก็ต้องชี้มูลไปที่ปฐมบทที่ลูกพี่ของ “ทนายตั้ม” ต้องการยัดเครื่องไบโอฯ ยี่ห้อ “เอไอ” ซึ่งนำเสนอมา
โดย “มาดามก้อย รัตนา” คนสนิทของโจ๊ก “โจ๊กและมาดามก้อย” มีสัมพันธ์กันไม่ธรรมดา มีประวัติทำมาหากินด้วยกันในสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เช่นกรณี visa on arrival ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ว่ากันว่าโครงการของ สตม.ที่ “มาดามก้อย” ได้สัมปทานมา ทำให้มีรายได้ มีฐานะอู้ฟู่ ถามว่าพากันร่ำรวยแค่ไหน!? ก็ถึงขั้นมีคนเห็นโจ๊กและมาดามก้อย บินไปสิงคโปร์ด้วยกันบ่อยๆ
ส่วนจะเอาเงินไปฝากที่สิงคโปร์ เหมือนพวกเศรษฐีชั่วข้ามคืนชอบทำกันหรือไม่!? น่าสนใจติดตาม ส่วนที่ “ษิทรา” ย้ำกับสื่อว่า การออกมาแฉป้ายสีใส่ร้ายผู้อื่น ต่อให้โจ๊กจ่ายค่าจ้างเป็นหลัก 10 ล้าน มันก็ไม่คุ้มหรอก
ประเด็นนี้ “ษิทรา” รู้หรือไม่ว่า เมื่อพูดออกมาแล้วคำพูดเป็นนายเรา “ทนายตั้ม” ยอมรับเองว่าสนิทกับโจ๊กด้วยความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่มี ทำไมต้องจ้าง !?
คู่นี้ไส้กี่ขด อะไรอยู่ในไส้ คงจะมีโอกาสได้สาวกันออกมายาวๆ “ทนายตั้ม” พูดไปเหมือนต้องการสร้างมูลค่าราคาเพิ่มให้ตนเอง อาจจะเพราะรู้ว่า เรื่องที่ทำอยู่ตอนนี้ ตัวเองกลายเป็นคนไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีราคาไปแล้ว !!.
++ “แสวง” ชี้นำ “ภูมิใจไทย” รอดยุบพรรค
ย้อนไปเมื่อ 17 ม.ค.67 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยคดีซุกหุ้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคม
ว่าให้ความเป็นรัฐมนตรีของ “ศักดิ์สยาม” สิ้นสุดลง เนื่องจากเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ คำวินิจฉัยของศาล รธน.ดังกล่าว ถูกนำมาต่อยอด ร้องเรียนสู่การยุบพรรคภูมิใจไทย เพราะห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ที่ “ศักดิ์สยาม” ถือหุ้นอยู่ ได้บริจาคเงินให้กับพรรคภูมิใจไทย... จึงถูกนำมาเทียบกับกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ให้พรรคกู้ยืมเงิน 191.2 ล้านบาท จนนำไปสู่การยุบพรรค
คดียุบพรรคภูมิใจไทย ถูกร้องเรียนในช่วงเดียวกับ “คดียุบพรรคก้าวไกล” ถึงวันนี้ พรรคก้าวไกลถูกยุบ จนไปตั้งพรรคใหม่ มีหัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว แต่คดีของพรรคภูมิใจไทย เหมือนถูกดอง อยู่ที่ กกต. ที่นายทะเบียนพรรคการเมือง ก็คือ “แสวง บุญมี” เลขาฯ กกต. คนบุรีรัมย์ จังหวัดเดียวกับ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ตามขั้นตอนของการทำคดี คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ จะมีหน้าที่ไปตรวจสอบ หาพยาน หลักฐานต่างๆ แล้วสรุปมาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณา ถ้านายทะเบียนฯ บอกว่าข้อมูลยังไม่พอ ก็ต้องไปหาเพิ่ม ไปสอบเพิ่ม ถ้าถึงที่สุดแล้วตามข้อมูลหลักฐานที่มี นายทะเบียนเห็นว่าไม่ผิด ก็เป็นอันจบ แต่ถ้าเห็นว่าผิด ก็ต้องส่งให้ กกต. ชุดใหญ่พิจารณา ถ้า กกต.มีมติเห็นพ้องว่าผิดจริง จึงจะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา วินิจฉัยชี้ขาด เป็นขั้นตอนสุดท้าย
แต่วันนี้ “แสวง บุญมี” ออกมาส่งสัญญาณในเชิง “ตัดจบ” แล้วว่าขั้นตอนต่างๆ นี้ คาดว่าไม่เกินเดือน ต.ค.ก็เสร็จสิ้น แถมพูดชี้นำว่า ตามข้อกฎหมายนั้น กรณีของพรรคก้าวไกล มีคำวินิจฉัยของศาล รธน.วินิจฉัยเป็นแนวเอาไว้แล้ว ซึ่งก็ผูกพันกับ กกต. ทำให้ กกต.ต้องยื่นต่อศาล รธน. เพื่อพิจารณาวินิจฉัย
แต่คดีของพรรคภูมิใจไทย เป็นการร้องว่า “ผิดหรือไม่” ซึ่งคำวินิจฉัยของศาล รธน. ในกรณีของ “ศักดิ์สยาม” ไม่ได้เป็นความผิด อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรคเลย แต่เราก็พยายามหาว่า สิ่งที่เขาร้องมานั้น เป็นเหตุที่จะโยงไปสู่การยุบพรรคได้หรือไม่ แต่วันนี้ฟังได้ว่า เขาเสนอเรื่องมาแล้ว ตนก็จะได้สบายใจว่า มันจะได้จบเสียที
“แสวง บุญมี” ยังบอกว่าเรื่องของพรรคภูมิใจไทย ก็เหมือนกับเรื่องร้องเรียนให้ยุบพรรค “พลังประชารัฐ” จากกรณีการรับเงินบริจาค ไม่ชอบด้วยกฎหมายจาก “ตู้ห่าว” ซึ่งกรณีนี้ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เงินที่ ตู้ห่าว นำมาบริจาคนั้น ได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น เปิดบ่อนการพนัน ค้ายาเสพติดหรือไม่ ก็ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ปปง.-ป.ป.ส. ไปตรวจสอบ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเงินสีเทา ก็ไปยุบพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้
“กรณีเงินบริจาคของ ตู้ห่าว ไม่มีหน่วยงานไหนวินิจฉัยว่า เงินนั้น ได้จากอะไร ไม่มีหน่วยงานไหนมาวินิจฉัย และเรา ก็ไม่มีอำนาจที่จะไปวินิจฉัยตามกฎหมายอื่น กกต.ก็ต้องยุติเรื่องไป พอมาถึงเงินของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีบริษัทหนึ่งเอาเงินมาบริจาค ซึ่งเงินนั้นคือ “เงินหลวง” ที่บริษัทประมูลงานได้
ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษา ในคดีหนึ่งที่มีบริษัทเขาไปฮั้วประมูลและผู้มีอำนาจ ไม่ให้เงินค่างานเขา ศาลบอกว่า ต้องแยกให้ถูก เขาทำงานก็ต้องได้ค่างาน ฮั้วประมูลไม่เกี่ยวกัน นั่นหมายความว่า เงินค่างาน เป็นเงินที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเขาทำงานก็ต้องได้เงิน ส่วนเรื่องฮั้วประมูล ก็ต้องไปดำเนินคดีอีกคดีหนึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”
ถ้ามาเทียบเคียงว่า เงินที่พรรคภูมิใจไทย ได้รับจากบริษัทที่ไปทำงานให้หลวง นั่นคือ เงินค่างานที่เขาได้รับ จากการประมูลงานจากหลวง มีระบบบัญชีถูกต้อง เงินมันถึงเข้ามาอยู่ในบริษัทได้ ถ้าเป็นเงินฮั้ว มันเข้ามาอยู่ในบริษัทไม่ได้ ไม่รู้เงินนั้นจะไปอยู่ตรงไหน ดังนั้น ถ้าตามกฎหมายแล้วมีความซับซ้อน คนจะคิดว่าฮั้วประมูลแล้วจะต้องยุบพรรค แล้วฮั้วจริงหรือเปล่า ก็ยังไม่มีใครรู้ หรือมีใครตัดสินอย่างไร แต่สุดท้ายเขาก็คงเสนอขึ้นมาให้นายทะเบียนฯ พิจารณา
จากคำชี้แจงยืดยาวของ “แสวง บุญมี” พอจะสรุปความได้ว่า เงินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น นำมาบริจาคให้พรรคภูมิใจไทย เป็นเงินสะอาด เป็นเงินหลวง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุให้ต้องยุบพรรค
แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่า คดียุบพรรคภูมิใจไทย จะถูกตีตกในชั้นนายทะเบียนพรรคการเมือง ไปไม่ถึงมือ กกต. ชุดใหญ่แน่นอน.