xs
xsm
sm
md
lg

"โจ๊ก"หลังผิงฝาไฟธาตุแตก สั่ง"พ่อบ้านคริษฐ์" ลุยบี้ "บิ๊กต่อ" ยื้อถูกตอกตะปูปิดฝาโลง ** จาก“กัญชา”แลก “กาสิโน” วันนี้ แก้ปมจริยธรรมจะแลกกับอะไร ?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล - พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล - อนุทิน ชาญวีรกูล
ข่าวปนคน คนปนข่าว


++ "โจ๊ก"หลังผิงฝาไฟธาตุแตก สั่ง"พ่อบ้านคริษฐ์" ลุยบี้ "บิ๊กต่อ" ยื้อถูกตอกตะปูปิดฝาโลง

กรณี "รองคริษฐ์" ที่ใช้ชื่อ "นายคริษฐ์ ปริยะเกตุ” พ่อบ้านลูกน้องคนสนิท "โจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร.ที่ถูกให้ออกจากราชการลุยบี้ "บิ๊กต่อ" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ก่อนจะเกษียณอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ บ่งบอกถึงอาการ "หลังพิงฝา" ไฟธาตุแตกสติหลุดของ "โจ๊ก"

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ มีไฟแค้นสุมแน่นอกคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมตัวเขาถูกกระทำอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นถ้าต้องตกตายคนอื่นๆ ก็ต้องตกตายตามกัน เหมือนที่โจ๊ก เคยขู่มาตลอด

“อดีตรองคริษฐ์” ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีเว็บพนันออนไลน์ จึงไปที่ สน.ปทุมวัน แจ้งความให้ดำเนินคดี ม.157 กับ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ ในวันที่30 ก.ย.นี้ พร้อมคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง อีกกว่า 14 คน อาทิ พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ณพวัฒน์ อารยางกูร รอง จชต., พล.ต.ต.ธวัชชัย นาคฤทธิ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.บัณฑิต นิลอ่อนรอง
“พ่อบ้านคริษฐ์” ที่ทำตามนายโจ๊กสั่ง อ้างว่า เคยให้การพาดพิงตำรวจ ก็ว่า 33 นายก่อนนี้ ประเด็น ที่น.ส.พิมพ์วิไล ปล้องอ่อน ผู้ต้องหารายสำคัญ คดีเว็บพนันออนไลน์ ท้องที่สน.เตาปูน ได้โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลทั้ง 33 คน อาทิ ภรรยากับเครือญาติ ของ ผบ.ตร. นายตำรวจคนสนิทของ ผบ.ตร. แต่คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และผบ.ตร.กลับไม่ทำอะไร

เรียกว่า สอบสวนเอาผิดทางวินัยร้ายแรงกับ “นายโจ๊ก”อยู่ข้างเดียว

นี่เป็นเกมป่วนของคนสติแตก เหมือนหมาบ้าที่ไล่ฟัดกัดแหลก

พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ
นอกจากได้ฟาด"บิ๊กต่อ" แล้วยังหวังต้องการให้เกิดผลเป็นคุณในส่วนที่คณะกรรมการที่ “พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช” รอง ผบ.ตร. เป็นประธานทำงานอยู่

ฟังว่า “โจ๊ก” ดีดลูกคิดรางแก้ว ใช้พ่อบ้านคริษฐ์ออกมาเคลื่อนไหว คำนวณมามั่นเหมาะว่าได้ผลแน่ แต่ดันลืมไปว่า "ลูกน้องคนสนิท" มีแผลเหวอะหวะ ไม่มีความน่าเชื่อถือ

ที่สำคัญ “โจ๊กสติหลุด” ลืมไปว่า ตัวเองและลิ่วล้อโดนคดีอาญาก่อน และขั้นตอนการรวบรวมหลักฐานเส้นทางการเงินก็ดำเนินการทางลับมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาโผล่อย่างมีข้อสงสัยตอนที่พวกตัวเองถูกดำเนินคดีจึงหาทางเอาคืน

เส้นทางการเงินที่แฉ "บิ๊กต่อ" ก็ดี ลูกน้องผบ.ตร.ที่ว่า พัวพันกับเว็บพนันก็เลื่อนลอย อุตสาห์ให้ "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด "ม้าใช้" ออกโรงขยี้ ปากว่า "ทำเพื่อชาติ" แต่ใครก็ดูออกแหละว่า "เพื่อโจ๊ก"

“โจ๊ก” หลังผิงฝาจึงไม่คำนึงถึงวิธิการต่อสู้ด้วยความจริง จ้องแต่ใช้กลยุทธ์ตกตายตามกันแบบทื่อด้าน

นี่เป็นความพยายามดิ้นในเฮือกสุดท้ายก่อนการพิจารณาของคณะกรรมการวินัยร้ายแรงจะออกมา ซึ่งถ้าออกมาเป็นโทษกับพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็ต้องถือว่า ตอกตะปูปิดฝาโลงได้เลย นะครับนะ.

อนุทิน ชาญวีรกูล -ไชยชนก ชิดชอบ
++ จาก“กัญชา”แลก “กาสิโน” วันนี้ แก้ปมจริยธรรมจะแลกกับอะไร ?!

คงจำกันได้ ในช่วงรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ที่ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความพยายามที่จะเอากัญชา ที่พรรคภูมิใจไทยปลดล็อกออกมาเป็นกัญชาเสรี (เพื่อการแพทย์) กลับเข้าไปอยู่ในบัญชียาเสพติดเหมือนเดิม

“หมอชลน่าน” ออกมาให้ข่าวถี่ยิบ เหมือนกินยาก่อนอาหาร หลังอาหาร ว่ากัญชาต้องกลับไปเป็นยาเสพติด แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะจะออกเป็นแค่ประกาศกฎกระทรวงไม่ได้ ถ้าจะให้กลับไปอยู่ใน พ.ร.บ.ยาเสพติด ต้องผ่านการพิจารณาจากสภา

ต่อมาในช่วงจัดตั้งรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ที่พรรคเพื่อไทยต้องการให้มี “กาสิโนคอมเพล็กซ์” เอาธุรกิจใต้ดิน ขึ้นมาอยู่บนดิน เพื่อจัดเก็บภาษี เป็นรายได้ของรัฐ ตามวิสัยทัศน์ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ไปโชว์วิชันในงานดินเนอร์ทอล์ก

จังหวะนั้นพรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ก็ชิงเสนอนโนบายพรรคออกมาหลายข้อ หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องการนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ และธุรกิจ โดยให้ออกกฎหมายมารองรับ กำกับ ดูแล

เมื่อรัฐบาลแพทองธาร แถลงนโยบายต่อสภาฯ จึงมีทั้งนโยบายกัญชา และกาสิโนคอมเพล็กซ์

จึงมีเสียงวิพากวิจารณ์ตามมาว่า นี่เป็นดีล กัญชาแลกกาสิโน !!

แต่เมื่อรัฐบาลแพทองธาร เริ่มบริหารราชการ ก็มีเรื่องร้องเรียนประดังเข้ามาทั้งเรื่องยุบพรรค เรื่องถอดถอนนายกฯ จากปัญหา“จริยธรรม”และปัญหา“ทักษิณ” ครอบงำพรรค หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรเลย คงพลาดเข้าสักวัน

พรรคเพื่อไทย จึงมีแนวคิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม โดยแอบไปเจรจาจับมือกับพรรคประชาชน ซึ่งก็คือพรรคก้าวไกลที่เพิ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคมา และกำลังต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนกัน เพียงแต่ต่างกันในรายละเอียด

พรรคเพื่อไทยคงคิดฝันหวานว่า ด้วยเสียงของฝั่งรัฐบาล รวมกับพรรคประชาชน และสว.ค่อนสภา ก็เป็นสายสีน้ำเงิน ของพรรคภูมิใจไทย นั้นเหลือเฟือในการผ่านขั้นตอนทางรัฐสภา

จึงไม่ได้ปรึกษาหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ และ ประชาธิปัตย์ แบบมองข้ามเรื่อง“จริยธรรม”ของการอยู่ร่วมรัฐบาล

ที่สำคัญคือ เนื้อหาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เรียกได้ว่า “สุดซอย” แบบไม่กลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ทั้งจำกัดกรอบคำว่า “จริยธรรม” ลดอำนาจองค์กรตรวจสอบอย่าง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ และยังหาทางเปิดช่องให้ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ จะได้ไม่มีความผิดเรื่องครอบงำพรรค

พลันที่เปิดร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคเพื่อไทย ก็มีเสียงสวดตามมาอื้ออึง ว่าแทนที่จะคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน แต่นี่แก้เพื่อประโยชน์นักการเมือง เพื่อตัวเองล้วนๆ ประชาชนไม่ได้อะไรด้วยเลย
พรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ จึงออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็คัดค้านเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องนิรโทษกรรม 112

และล่าสุด ที่ประชุมสส.พรรคภูมิใจไทย ก็มีมติ ไม่เอาด้วยกับแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่พรรคเพื่อไทยเสนอ แต่เลี่ยงไปบอกว่า หนุนแก้ทั้งฉบับ ให้คนกลางอย่าง ส.ส.ร. มายกร่าง โดยไม่แตะหมวด 1 หมวด 2

“ไชยชนก ชิดชอบ” สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ลูกชายของครูใหญ่บุรีรัมย์ “เนวิน ชิดชอบ” บอกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยได้รับการติดต่อจากพรรคเพื่อไทย เพื่อหารือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นมาตรฐานจริยธรรมเลย

“เรื่องมาตรฐานจริยธรรม เรามองว่าเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นและเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนักการเมือง และพรรคการเมือง” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย พูดแบบหล่อๆ

ฟังแล้วก็เหมือนการถือโอกาสเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เพราะต้องไม่ลืมว่าพรรคภูมิใจไทย ก็มิได้ผุดผ่อง หรือ“จริยธรรมสูงส่ง” คนในพรรคก็มีเรื่องถูกร้องเรียน ถูกร้องยุบพรรค ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในชั้น กกต.

โดยเฉพาะคนในตระกูลชิดชอบ ที่ก่อนหน้านี้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ถูกร้องเรียนเรื่องที่ดิน “เขากระโดง” ที่โยงกับการรถไฟ ซึ่งตอนนี้กระทรวงคมนาคม ตกไปอยู่ในการกำกับดูแลของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” คนของพรรคเพื่อไทย

หากพรรคภูมิใจไทย ที่มีสส.อยู่ 71เสียง กับ กลุ่มสว.สีน้ำเงินอีกค่อนสภา ไม่เอาด้วย แก้ไขปมจริยธรรมก็ไปไม่รอด

เพราะ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 1 หรือขั้น"รับหลักการ" นั้น ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งในจำนวนนี้ ต้องมี สว.เห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

นั่นคือ ต้องมีเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่า 350 เสียงของสมาชิกรัฐสภา และในจำนวนนี้ ต้องมีเสียง สว.เห็นชอบด้วย 67 เสียงขึ้นไป

เมื่อพรรคเพื่อไทยต้องการแก้รัฐธรรมนูญในเรื่อง “คอขาดบาดตาย” ของตัวเอง จึงเป็นโอกาสที่พรรคภูมิใจไทย ที่ถือไพ่เหนือกว่า จะเปิดเกมต่อรอง เพียงแต่ยังไม่เผยไต๋ออกมาให้เห็นกันชัดๆ

หรือว่าดีลรอบนี้ จะเป็นเรื่องยุบพรรค เรื่องเขากระโดง แลกแก้ปมจริยธรรม


กำลังโหลดความคิดเห็น