ทอท.แพ้คดีตั้งเต้นท์ขวางทางเข้าโครงการเซ็นทรัลวิลเลจ ลักชูรี่ ศาลปค.สั่งชดใช้ค่าเสียหาย 2.9 ล้าน ชี้ไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะตั้งเต็นท์ในที่ราชพัสดุดังกล่าวเพื่อขวาง ทางเข้าออก
วันนี้ (24ก.ย.) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาห้ามบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด มหาชน (ทอท.)กระทำการและให้ยุติการกระทำใด ๆ อันเป็นการขัดขวาง รบกวน หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการใช้ประโยชน์ทางเข้าออกหน้าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่ ที่อยู่ติดกับเขตทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านถนนบางนา - บางวัว ซึ่งบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินให้ทำทางเชื่อมในเขตทางหลวง ได้เป็นการชั่วคราว และให้ทอท.ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ท และบริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัด เป็นเงินจำนวน 2,991,201.60บาท บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10เม.ย.64 และในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ซึ่งออกตามความในมาตรา 7วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11เม.ย.64 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และให้คำสั่งของศาลลงวันที่ 30ส.ค.62 ที่กำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา มีผลใช้บังคับต่อไป จนกว่าจะพันระยะเวลาการอุทธรณ์ และในกรณีที่มีการอุทธรณ์ให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัด ยื่นฟ้อง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ว่า เมื่อวันที่ 22ส.ค.62 กรณีทอท.ตั้งเต็นท์ขวางทางเข้าออกโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจฯ ซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินให้ทำทางเชื่อม ในเขตทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านถนนบางนา - บางวัว โดยอ้างว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ราชพัสดุซึ่งทอท.เป็นผู้ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ จึงขอให้ศาลสั่งห้ามทอท.ยุติการกระทำอันเป็นการขัดขวาง รบกวน หรือก่อให้เกิด อุปสรรคต่อการใช้ทางเข้าออกของโครงการเซ็นทรัลวิลเลจฯและชดใช้ค่าเสียหายจำนวน145,597,656.36บาท พร้อมดอกเบี้ย
ส่วนที่ศาลฯมีคำพิพากษาดังกล่าวระบุเหตุผลว่า ที่ดินบริเวณที่กรมทางหลวงก่อสร้างทางเข้าออกด้านทิศใต้ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งปัจจุบันคือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 มีกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยกรมการบินพาณิชย์ หรือปัจจุบันคือกรมท่าอากาศยาน) ได้ดำเนินการสำรวจและเจรจาตกลงซื้อขายกับราษฎรเจ้าของที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดสร้าง ทางเข้าออกสนามบินพาณิชย์ ในระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ.2505 และ พ.ศ. 2511 เพื่อจัดสร้างสนามบินหรือท่าอากาศยานพาณิชย์ ที่ดินดังกล่าวจึงเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามมาตรา 1304(3) แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2518และมาตรา 5 แห่งพ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2562 โดยกรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุไว้แล้ว แม้ต่อมาเมื่อกรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางเข้าออกด้านทิศใต้ของท่าอากาศสุวรรณภูมิบนที่ราชพัสดุ ดังกล่าวแล้วเสร็จ และจัดระบบหมายเลขทางหลวงเป็นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ก็ตาม แต่เมื่อไม่มีการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 9 แห่งพ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2518หรือมาตรา 34 พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2562 ที่ดินดังกล่าวจึงยังคงมีสถานะเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 5 แห่งพ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2562
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตามแผนที่แนบท้าย ข้อตกลงการใช้ประโยชน์ (สนามบินสุวรรณภูมิ) ฉบับลงวันที่ 30ก.ย.45 ที่กรมการบินพาณิชย์ ตกลงให้การทำอากาศยานแห่งประเทศไทย ใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุที่อยู่ใน ความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของกรมการบินพาณิชย์อันเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวนเนื้อที่ประมาณ 19,251 ไร่ นั้น ไม่ได้รวมถึงที่ดินที่ใช้ในการก่อสร้างทางเข้าออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้านทิศใต้ด้วยแต่อย่างใด ทอท.จึงไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะตั้งเต็นท์ในที่ราชพัสดุดังกล่าวเพื่อขวาง ทางเข้าออกหน้าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจฯ การกระทำของทอท.จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายและทำให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัดได้รับความเสียหายจากการที่ไม่อาจใช้ทางเข้าออกได้ การกระทำละเมิดต่อบริษัทผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงมีคำพิพากษาดังกล่าว