ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ เห็น "ลุงป้อม" นิ่งๆอย่าคิดว่าหลับ ขยับจัด "หมาแก่" 3คดีรวด เรียก50ล้านแค่น้ำจิ้ม รอจังหวะปูพรมถอนแค้น!
มาตามที่ลั่นวาจา ปมเปิดคลิปหลุดเสียงลุง งานนี้ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรค พปชร. จัดให้ “หมาแก่” ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ผู้ดำเนินรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เบาะๆ ร้องทุกข์กล่าวโทษ 3 คดี ทั้งอาญาและแพ่ง
สองคดีอาญาเป็นเรื่องการดักฟัง และหมิ่นประมาท ส่วนคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเบาๆ 50 ล้าน
งานนี้ “หมาแก่” ไม่เดียวดาย เพราะผู้ฟ้องพ่วงเอา รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท. รวมถึง บริษัท อสมท. เข้าไปด้วย กรณีรู้เห็นเป็นใจให้หมาแก่เปิดคลิปแบบไม่ทัก ไม่ท้วง
พะยี่ห้อ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” จะทำให้ “ลุงป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ผิดหวังหรือไม่ เจ้าตัวมั่นใจว่า ศึกษาข้อกฎหมายมาอย่างดีว่า เรื่องการดักฟังนั้น ในประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 21 ถือว่า เป็นความผิดต่อรัฐ ต้องแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน และยืนยันว่า รัฐบาลชุดใหม่ยังไม่ยกเลิกประกาศดังกล่าว จึงยังมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
เพราะฉะนั้น ขอให้รอติดตาม 3 คดีต่อไป จะเป็นอย่างไร
ที่แน่ๆ บรรดาคอการเมืองกำลังเฝ้ารอดูว่า “หมาแก่” จะทำตามที่พูดไว้ก่อนนี้หรือไม่ว่า หากฝ่ายตรงข้ามเดินเกมฟ้องร้องทุกข์เมื่อไหร่ จะนำคลิปหลุดเสียงลุงที่โวว่ามีอีกหลายคลิปมาเปิดเผยอีก
ตรงกันข้าถ้า “หมาแก่” ทำให้แฟนๆ รอเก้อ ไม่มีคลิปมาเปิดตามคำพูด หมาแก่ จะเป็นไม่ใช่แค่แก่อย่างเดียว แต่จะเสียหมา เอานะจ๊ะ
กระแสจะตีกลับมาที่ “หมาแก่” อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตอนนี้คนในบ้านป่ารอยต่อ และพรรคพลังประชารัฐ เริ่มจะรู้แล้วว่า ฝีมือใครที่หยิบยื่นคลิปมาใช้บริการ ยืมรายการ “หมาแก่” เผยแพร่
ดังที่ “ไพบูลย์” แง้มๆว่า “ดูเค้าแล้วก็พอรู้ว่าใคร”
อย่าประมาท “ลุงป้อม-ลุงป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ สองศรีพี่น้อง ที่ดูเพลี่ยงพล้ำในเกมการเมือง แต่ความเป็นทหารและตำรวจ ผ่านศึกสงครามในวงราชการมายาวนาน เชื่อว่ามี “ทีเด็ด” และเสาะหา “จุดอ่อน” ของอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างที่เคยบอกออกไปเมื่อวันก่อน ถึงตอนนี้ วงในบ้านป่ารอยต่อ แกะรอยจาก “บริวารเป็นพิษ” ของลุง รู้ว่า ไผเป็นไผแล้ว ยังรู้ลึกลงไปอีกว่า ขบวนการขยี้ลุงป้อม ปมคลิปหลุด มีอดีตนายตำรวจใหญ่ที่ลุงรู้จักดี เพราะเป็นคนปั้นดินให้เป็นดาวมากับมือ อยู่เบื้องหลัง
รวมถึงคนๆนี้ ก็เคยเป็นคนเชื่อมให้ “หมาแก่” ได้รับความช่วยเหลือจากลุง ออกหน้าอุ้มธุรกิจของหมาแก่แหวกวงล้อมที่ถูกบดบี้จนกรอบจากคนในตึก“ตระกูลชิน”มาแล้ว
จากคนเคยมีบุญคุณกับ “หมาแก่” กลับมาถูกหมาแก่เล่นงาน แว้งกัด คิดหรือว่าลุงจะทนอยู่เฉยๆ
วันนี้ “ลุงป้อม” ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ยิ่งน่ากลัวแทน “หมาแก่”
แว่วว่า เรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษก็ให้ “ไพบูลย์” ทำงานที่ถนัด เป็นการใช้สิทธิ์ไปพลาง อาวุธหนักยังไม่ออก ลุงแค่รอเวลาที่เหมาะสม โจมตีแบบปูพรมถอนแค้น ตามยุทธวิธีทหาร
ถึงเวลานั้น “หมาแก่” จะปากกล้าขาสั่นหรือไม่..โปรดติดตาม !!
++ พ่อจัดให้!! ส่ง 5 มือเก๋า มาช่วยประคับประคอง คุณหนูอิ๊งค์
หลังประชุมครม.นัดแรก ของ “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปเมื่อวานนี้ (17ก.ย.) “นายกอิงค์” ก็ตวัดปากกา เซ็นตั้ง 5 คณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีทันที
คอการเมืองเห็นชื่อแล้วต่างบอกว่า นี่มัน “ที่ปรึกษาทักษิณ” รีเทิร์นชัดๆ
คนที่เป็นประธานคณะที่ปรึกษาฯ ก็คือ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” คนนี้เป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เคยเป็นประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ด้านนโยบายเศรษฐกิจ ในรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายสำคัญๆ หลายนโยบายในรัฐบาล ทักษิณ 1 และ ทักษิณ 2 เช่น นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน (Dual Track) หรือ ที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ทักษิโณมิกส์"
ก่อนหน้านั้น “พันศักดิ์” ยังเคยเคยดำรงตำแหน่งเป็น ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” และอยู่เบื้องหลัง "นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" ในช่วงรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” เขาก็เป็น ที่ปรึกษา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในขณะนั้น รัฐบาล
“พันศักดิ์” มีลักษณะเด่นในการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์คือการ ผูกหูกระต่าย ซึ่งทำให้บางครั้งสื่อมวลชนเรียกเขาว่า "จอมหูกระต่าย"
และล่าสุดก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายชุดนี้ เขาก็เป็น ที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ อยู่ก่อนแล้ว
เรียกได้ว่า “พันศักดิ์” อยู่คู่ระบอบทักษิณ ตั้งแต่รุ่นพ่อ ยันรุ่นลูก
สำหรับรองประธานคณะที่ปรึกษานโยบายฯ ก็คือ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คนเดือนตุลาฯ ที่อยู่กับ “ทักษิณ” มานาน เป็นคนปลุกปั้นนโยบาย “สามสิบบาทรักษาทุกโรค” ที่กำลังจะพัฒนาไปเป็น “สามสิบบาทรักษาทุกที่” เคยเป็นรองนายกฯ เป็นรมว.คลัง รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รมช.สาธารณสุข เป็นอดีตเลขาธิการพรรคพลังประชาชน กระทั่งเป็นโฆษกรัฐบาล เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ที่ถูกยุบพรรค
ช่วงที่ “ทักษิณ”ก่อนกลับไทย ก็มี “หมอเลี้ยบ” คนนี้ ที่เปิดเวที “แคร์ คิดเคลื่อน ไทย” ไลฟ์สดให้แฟนคลับได้พูดคุยกับ “โทนี่ วู้ดซั่ม”
แม้แต่ในยุครัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” เขาก็เป็นเป็นกรรมการ และเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ...เรียกได้ว่า “หมอเลี้ยบ” อยู่กับ “ทักษิณ” มาทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน
ส่วนที่ปรึกษาฯ อีก 3 คน ประกอบไปด้วย “ศุภวุฒิ สายเชื้อ-ธงทอง จันทรางศุ และ พงศ์เทพ เทพกาญจนา”
โดย“ศุภวุฒิ สายเชื้อ” นั้นเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของเมืองไทย เป็นประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคนใหม่
เคยนั่งเก้าอี้กรรมการบริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) และเคยดำรงตำแหน่งกรรมการที่สำคัญหลายตำแหน่ง เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงินคนหนึ่ง ถึงขั้น เคยปรากฏชื่อในโผ ว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็น รมว.คลัง ในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย
ส่วน “ธงทอง จันทรางศุ” คนนี้ มีพื้นฐานเป็นนักกฎหมายมหาชน เป็นที่ปรึกษาของ อดีตนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ สถาบันพระปกเกล้า, กรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 8 และเป็นกรรมการอีกหลายคณะ รวมทั้งเป็นอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย
นอกจากความรู้ด้านกฎหมายแล้ว “ธงทอง” ยังมีความเชี่ยวชาญในด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม รวมทั้งเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางราชสำนัก และพระราชพิธีเป็นอย่างมาก และที่ประชาชนคุ้นเคยกันก็คือ การได้รับเชิญให้มาร่วมบรรยาย ถ่ายทอดสดในการพระราชพิธีต่างๆ ที่สำคัญมาแล้วหลายวาระ รวมทั้งได้มาร่วมบรรยายถ่ายทอดสด ในการพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
สำหรับ“พงศ์เทพ เทพกาญจนา” เป็น อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาพรรค ของพรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนหนึ่ง
“พงศ์เทพ” เป็นอดีตผู้พิพากษา เข้าสู่วงการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กรุงเทพฯ ในสังกัด พรรคพลังธรรม เมื่อปี 2538 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง และได้รับแต่งตั้งเป็นรองโฆษก ประจำสำนักนายกฯ ต่อมาเข้าสังกัดพรรคไทยรักไทย ก็ได้เป็น รองเลขาธิการพรรค และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เช่น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รมว.ยุติธรรม และ รมว.พลังงาน
ในปี 2550 เขาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกศาลรธน.สั่งยุบพรรค
ในรัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ นำเสนอแนวความคิด ยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในเชิงสนับสนุนและคัดค้าน
วันนี้ ทั้ง 5 คน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น คณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” มีอำนาจ หน้าที่ วิเคราะห์ และศึกษาโอกาสในการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาเสนอแนะแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านนโยบายของรัฐบาล และ ปฏิบัติงานอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
ก็ต้องติดตามกันว่า “กุนซือ” รุ่นพ่อ จะเสนอไอเดียอะไรใหม่ๆ ให้กับนายกฯ และประชาชนคนรุ่นลูกได้บ้าง