ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “อดีตนายตำรวจใหญ่”ชักใย ชง “หมาแก่” ที่เคยยกลุงเป็นฮีโร่ กลับขยี้ให้เป็น “ซีโร่” เอาใจ“บ้านจันทร์ส่องหล้า”?!!
หลังจากมีมือดีส่งคลิปเสียงหลุดไปให้ “หมาแก่” ดนัย เอกมหาสวัสด์ เปิดในรายการ ถึงวันนี้ก็มีกว่า 5 คลิปผ่านไปแล้ว และ“หมาแก่” ยังขู่ออกสื่อว่าจะเอาคลิปที่มีอีกเป็นกะตั๊ก มาเปิดเรื่อยๆ หากพรรคพลังประชารัฐท้าทาย และฟ้องดำเนินคดีตัวเอง
ว่ากันว่า คำขู่ของ “หมาแก่” ทำเอาคนในป่ารอยต่อฯ ว้าวุ่นอย่างต่อเนื่อง
ทางหนึ่งมอบหมายให้ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันเปิด “นิติสงคราม” ปิดปาก “หมาแก่” ให้จงได้ เพื่อ “SAVEลุงป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะบทสนทนาของคลิปหลุดทั้งหลายที่ถูกเปิด พุ่งเป้าทำร้าย ทำลายลุงเต็มๆ
อีกทางหนึ่ง ต้องหาทางคลี่คลายปมที่มาของคลิป หรือ สืบหา “มือดี” ที่ปล่อยคลิปให้ได้ โดยลุงได้มอบหมายภารกิจลับนี้ให้ “น้องป๊อด” พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายสุดเลิฟ ในฐานะที่เคยเป็นอดีต ผบ.ตร. ดำเนินการ
แว่วว่า ทีมของ “ลุงป๊อด” ใช้เครือข่ายเน็ตเวิร์ก สืบสวนสอบสวนหาเบาะแสได้ข้อมูลมาในเบื้องต้นที่เชื่อได้ว่า ใครอยู่เบื้องหลัง แล้วรอรายงานให้ “ลุงป้อม”ทราบ
“ทีมลุงป๊อด” จะได้ข้อสรุปอย่างไร ไม่มีใครรู้
แต่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันในหมู่สมาชิกพรรคพปชร. ว่า งานนี้นอกจาก “บริวารคนใกล้ตัวเป็นพิษ” ยังมี “อดีตนายตำรวจใหญ่” ชักใยอยู่เบื้องหลัง!
อดีตนายตำรวจใหญ่คนนี้ เดิมทีลุงป้อมรักและเอ็นดูเหมือน “หลานในไส้” ไว้วางใจให้ทำงานสำคัญๆ ให้ และลุงยัง เป็นผู้ผลักดันให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จนขึ้นลิฟต์ อัปเกรดตัวเองเป็นนายตำรวจใหญ่ แต่ด้วยพฤติกรรมที่ชอบ“สีเทา”มากกว่าสีขาว ยังไม่ถึงฝั่งฝัน ก็มีอันต้องกระเด็นจากรั้ว สตช. จากวีรกรรมที่สร้างไว้
รู้กันว่า อดีตนายตำรวจใหญ่ กับ พิธีกรข่าวอย่าง “หมาแก่” มีสัมพันธ์กันในทำนอง น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
หากใครสังเกตที่ผ่านมาก็จะเห็น “หมาแก่” ออกมาปกป้อง “เทพ” ชองเขาอยู่เสมอ เวลา “เทพ” ที่ว่าถูกฟาดฟัน ก็เป็น “หมาแก่” ช่วยสลาย ผ่อนหนักเป็นเบาให้
ขณะที่เวลาที่ “หมาแก่” ลำบาก ก็ได้อดีตนายตำรวจใหญ่เป็นสะพานเชื่อมขอความช่วยเหลือจากลุง
“หมาแก่” ถึงกับเคยพูดขอบคุณ “ลุงป้อม” เป็นฮีโร่ที่ยื่นมือมาช่วยไว้ในยามลำบากถูกปิดล้อมธุรกิจแทบพัง ช่วงหยุดจัดรายการ หลักฐานนี้มีอยู่ในคลิปรายการย้อนหลังใครสนใจก็ไปเสาะหาฟังดู
ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? “หมาแก่” ที่เคยยก “ลุงป้อม” เป็นฮีไร่ มาวันนี้ทำใมกลับตาลปัตรจะทำให้ลุงเป็น “ซีโร่”!
งานนี้มีทีมงานถอดรหัสมาได้ว่า เรื่องก็มาจาก อดีตนายตำรวจใหญ่ ที่ไม่เคยคิดว่าตนเองประพฤติชั่วร้ายแรง ต้องคดี มีแต่ถูกปรักปรำ ทำลายอนาคต และ ได้ชื่อว่าเพื่อประโยชน์ของตัวเองแล้วพร้อมจะหักหลังทรยศผู้มีพระคุณได้ทุกคน เรื่องนี้มีผู้หลักผู้ใหญ่สตช. ในอดีตหลายคนเคยเจอมากับตัวเอง จึง “วิ่งเต้น” เพื่อหวังจะคัมแบ็กในวงราชการ ซึ่ง นาทีนี้ คนที่จะชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ มีอยู่คนเดียวคือ “ทักษิณ ชินวัตร”
ว่ากันว่า อดีตนายตำรวจใหญ่ พยายามเข้าหา “ทักษิณ” ไปจนถึง “คุณหญิงพจมาน” เพื่อเสนอหน้า เสนอตัว พร้อมกันกับจังหวะดีที่ได้โชว์ผลงาน หลังจาก “ทักษิณ” สะบั้นดาบฟาด “ลุงป้อม” ถีบพ้นรัฐบาล จึงใช้บริการ “หมาแก่” ออกมาขยี้กระทืบซ้ำทำการ "หักลุง" เอาอกเอาใจบ้านจันทร์ส่องหล้า “นายใหญ่-นายหญิง” เผื่อตัวเองจะได้กลับมารุ่งโรจน์แทนรุ่งริ่ง อยู่ตอนนี้
นี่ก็เป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ลอยมาตามลม บทสรุปสุดท้ายคลิปเสียงหลุดลุงจะออกมาอย่างไร ก็คงต้องรอติดตาม..นะครับนะ.
++ พลพรรคสีส้ม แพ้ทุกสนาม
ผ่านไปแล้ว สำหรับการเลือกตั้งซ่อมสส. เขต 1 พิษณุโลก แทน “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาฯ ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง หลังพรรคก้าวไกลถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค
ผลปรากฏว่า “โฟล์ค” ณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาชน ตัวแทน “หมออ๋อง” แพ้ “บู้” จเด็ศ จันทรา จากพรรคเพื่อไทย แบบทิ้งห่างกว่า 6 พันคะแนน
ขณะเดียวกัน มีผู้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือ “โหวตโน” กว่า 7 พันคะแนน ซึ่งหลังรู้ผลเลือกตั้งมีการพูดกันว่า ถ้าคนกลุ่มนี้ลงคะแนนให้พรรคประชาชน “โฟล์ค”ก็ชนะไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้ว จะลงให้ได้อย่างไร เพราะกลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีความผูกพันอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ อยู่กับสถาบันฯ ...
ต้องไม่ลืมว่า เขต 1 พิษณุโลกนี้ พรรคประชาธิปัตย์ผูกขาดมาตลอด เพิ่งจะมาเสียงท่าให้กับ “หมออ๋อง” ในการเลือกตั้งปี 62 และปี 66 นี่เอง เพราะสู้กันหลายพรรค คะแนนกระจัดกระจาย สุดท้ายหมออ๋อง เป็นตาอยู่ คว้าพุงปลา
เมื่อเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้สู้กันแค่สองพรรค คนกลุ่มนี้จึงรับไม่ได้ ไม่ยอมญาติดีกับทั้ง “สีส้ม” และ “สีแดง” ซึ่งว่ากันว่า บรรดาผู้หาเสียง หัวคะแนนของพรรคเพื่อไทย จึงแก้เกมด้วยการบอกว่า ถ้าไม่ชอบทั้งสองพรรค ก็ขอให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ผลเลยออกมาอย่างที่เห็น
ช่วงหาเสียงก่อนถึงวันหย่อนบัตร ทางพรรคประชาชนค่อนข้างมั่นใจว่า“โฟล์ค ณฐชนน” ชนะเลือกตั้งแน่ เพราะทำหน้าที่ไม่ต่างจากเป็นเลขาฯ หมออ๋อง คอยดูแลพื้นที่ ในช่วงที่ “หมออ๋อง” ต้องไปปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาฯ
โค้งสุดท้ายมีการขนแกนนำพรรค หนุ่ม สาว คนรุ่นใหม่ลงไปช่วยหาเสียงกันชุดใหญ่ แต่เนื้อหาสาระของการหาเสียงก็ได้แต่บอกว่า จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล จะออกกฎหมายนิรโทษกรรม จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ ขณะที่ประชาชนกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง เรื่องที่หาเสียงเลยไม่เข้าหูเท่าไร
อีกอย่าง “หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ ก็เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค กระแสตอบรับจึงไม่ปังเหมือนยุค “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”
โดยเฉพาะหากย้อนกลับไปดูในอดีต ไม่ว่าจะเป็น “ยุคลุงตู่” หรือก่อนหน้านั้น เวลาเลือกตั้งซ่อม ส่วนใหญ่ฝ่ายรัฐบาลจะเป็นผู้ชนะ เพราะประชาชนเชื่อว่า เลือกฝ่ายรัฐบาล แล้วงบประมาณจะตามมาเอง ไม่มีใครอยาก อดอยากปากแห้งตามฝ่ายค้านไปด้วย ฝ่ายรัฐบาลจึงค่อนข้างได้เปรียบตามธรรมชาติ นี่ยังไม่นับหน่วยราชการบางหน่วยที่ช่วยเหลือเกื้อกูลตามนายสั่ง
ขณะที่ “บู้” จเด็ศ จันทรา” สส.ใหม่ป้ายแดง จากเพื่อไทย จัดว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ดีกรีระดับดอกเตอร์ จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ปริญญาตรี และปริญญาโท การบริหารเชิงกลยุทธ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และปริญญาเอก มหาวิทยาลัยนอร์ท
เคยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นเวลา 10 ปี ก่อนเข้าสู่เส้นทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย เป็นกรรมการบริหารพรรค มีส่วนร่วมในหลากหลายโครงการของพรรค อาทิ โครงการจำนำข้าว , รถคันแรก , กองทุนหมู่บ้าน
การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้ขนทีมงานชุดใหญ่ ไปช่วยหาเสียง มีทั้ง “สรวงศ์ เทียนทอง” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข แม่ทัพตัวจริง “มนพร เจริญศรี” รมช.คมนาคม “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และว่ากันว่า “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ “เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรณ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นหนึ่งในทีมงานที่อยู่เบื้องหลังด้วย
ส่วนคนในพื้นที่ก็ได้ “มนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์” ว่าที่นายกอบจ.พิษณุโลก ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งนายก อบจ.มาอยู่ในทีมหาเสียงด้วย
เรียกว่าผนึกกำลังกันเต็มอัตราศึก ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และบ้านใหญ่ในพื้นที่ จนประสบผลสำเร็จ ได้ สส.คนรุ่นใหม่มาเสริมทัพ เสริมบารมีให้กับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกันหากย้อนไปดูผลการเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล จนกระทั่งมาเป็นพรรคประชาชน จะเห็นได้ว่า มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่สามารถชนะในสนามเลือกตั้งซ่อมได้ คือ การเลือกตั้งส.ส.เขต 3 ระยอง ที่เวลานั้นคู่แข่งเป็นพรรคประชาธิปัตย์ และที่ชนะอาจเป็นเพราะ ประชาชนไม่พอใจที่พรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นรัฐบาล ทั้งๆ ที่มีจำนวนส.ส.มากที่สุดในสภา เลยประชดด้วยการไปเลือกผู้สมัครของพรรคก้าวไกลอีก
หลังจากนั้นพรรคก้าวไกล ก็พยายามลงไปสู่การเลือกตั้งท้องถิ่น การเลือกนายกอบจ.ในหลายจังหวัด ที่ผู้สมัครแม้จะไม่ได้ลงสมัครในนามพรรคก้าวไกล แต่ก็มีสัญลักษณ์สีส้ม มีคนของพรรคและเครือข่ายไปช่วยหาเสียง แต่ก็แพ้รวด ไม่ว่าจะเป็นที่กาญจนบุรี หรือที่อยุธยา
จนกระทั่งที่ จ.ราชบุรี ที่พรรคก้าวไกลส่ง “ชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์” ลงสมัครชิงนายกอบจ. อย่างเป็นทางการ สู้กับ “กำนันตุ้ย” วิวัฒน์ นิติกาญจนา บ้านใหญ่เมืองราชบุรี แต่ก็แพ้อีก และล่าสุดยังมาแพ้เลือกตั้งซ่อมสส. ที่พิษณุโลก ซ้ำเข้าไปอีก
จึงถือว่า ช่วงหลังมานี้ พรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชน ไม่ประสบผลสำเร็จในการเลือกตั้ง ทั้งระดับท้องถิ่น และสนามเลือกตั้งใหญ่
ว่ากันว่า ในการเลือกตั้งท้องถิ่นนั้น ประชาชนต้องการพึ่งพานักการเมืองในเรื่องใกล้ตัว เรื่องถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา ความสะอาด แหล่งสันทนาการของของชุมชน ระบบการสาธารณสุขที่ดี ไม่ใช่เรื่องการตรวจสอบรัฐบาล การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ออกกฎหมายนิรโทษ หรือ แก้รัฐธรรมนูญ
ส่วนการเมืองระดับประเทศ แม้แต่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล”หนึ่งในผู้นำจิตวิญญาณของ “ติ่งส้ม” ยังออกปากว่า พรรคประชาชน เล่นการเมืองแบบ “โดดเดี่ยวตัวเอง” ไม่มีพันธมิตรทางการเมือง ต่อให้ชนะเลือกตั้ง แต่ถ้าได้ไม่เกิน 250 เสียง ก็ไม่มีโอกาสได้เป็นรัฐบาล
ก็รู้ๆ กันอยู่ คนไทยชอบเลือกนักการเมืองเพื่อไปเป็นฝ่ายบริหาร เพื่อนำงบประมาณมาพัฒนาท้องถิ่น ไม่มีใครอยากเลือกนักการเมืองเพื่อไปเป็นฝ่ายค้าน หากพรรคประชาชนยังไม่ปรับยุทธศาสตร์ แนวทางการเมืองของพรรค ก็จะพบกับความพ่ายแพ้ต่อไป แพ้ทั้งสนามใหญ่ สนามท้องถิ่น อย่างที่ผ่านมา