เมืองไทย 360 องศา
สำหรับรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง1” ที่นำโดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทุกอย่างกำหนดเป็นไทม์ไลน์เรียบร้อยแล้ว แต่ขณะเดียวกันกลายเป็นว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกจับจ้อง และถูกร้องเรียนมากที่สุด จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าจะมีอายุสั้น หรือจะไปได้สักกี่น้ำ
เพราะในท่ามกลางคำถามเรื่อง “จริยธรรม” และความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ แม้ว่าจะมีขอบข่ายกว้างขวาง แต่ก็ทำให้รัฐมนตรีหลายคนมีปัญหาทันที ตั้งแต่ นายกรัฐมนตรีลงมา เนื่องจากมีหลายกรณีที่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา บางคนต้องยอมถอนตัวไม่เป็นรัฐมนตรีก็มี ขณะที่คนที่เป็นรัฐมนตรีหลายคนยังมี “ชนัก” ปักหลังเสี่ยงต่อการหลุดจากตำแหน่งในอนาคต
อย่างไรก็ดีปัญหาที่น่าจะกลายเป็น “จุดอ่อน” ที่มีความเสี่ยงจะทำให้รัฐบาลพังเร็วก่อนกำหนด ก็น่าจะเป็น “สองพ่อลูก” ระหว่าง นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร กับ นายทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ เริ่มจาก “อุ๊งอิ๊ง” ที่ยังไม่ทันไร โดนร้องเรียนแบบรัวถี่ยิบกันเลยทีเดียว จนเจ้าตัวโอดขอร้องให้เมตตาหน่อย
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีตั้งรองนายกรัฐมนตรี 6 คน จะแบ่งงานอย่างไร ว่า ได้วางเอาไว้แล้วว่าจะให้ใครทำอะไร เมื่อถามว่าจะเปิดเผยได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขออีกนิดนึง แต่ได้วางแล้ว แต่ก็อยากให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น เวลามอบหมายงานก็จะได้ตามกลับมาได้ชัดเจนขึ้นด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มุ่งหวังกับครม.ชุดนี้ และตั้งเป้าหมายอย่างไรบ้าง นายกฯ อุทานว่า โอ้ว ก่อนกล่าวว่า คิดว่าดี และคิดว่าดีมากๆ จริงๆ ทุกคนมีความพร้อมที่จะสานงานต่อ และคิดว่าเป็นพลังอะไรที่เรามารวมกันแล้วและอยากจะทำเพื่อพี่น้องประชาชน อยากให้ประเทศไปต่อ ฉะนั้นหลายๆ คน มีทั้งหน้าใหม่และหน้าเดิม ซึ่งทุกคนก็พร้อมตรงนี้
เมื่อถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์หน้าตา ครม. เป็นการสืบต่อครอบครัว เพราะตัวเองไม่ได้ตำแหน่ง แต่ให้ลูกให้เพื่อนให้ญาติมาแทน ลักษณะอาจจะใช้คำแรงว่า ครม.สืบสันดาน นายกฯอุทานว่า “โห” ก่อนกล่าวว่า แรงจริงๆ ด้วย พร้อมกับหัวเราะ และกล่าวว่า ใช้คำแรงจัง จริงๆ มีหลายรูปแบบ และหลายๆ คนที่ไม่ใช่เป็นครอบครัว หรือเกี่ยวข้องกัน และมีหลายๆ คู่ที่เป็นครอบครัวต่อกันมา แต่อยากให้มองว่าเป็นความตั้งใจได้ไหม ที่มันถ่ายทอดกันมาในคนใกล้ชิดคนรู้จัก เพราะหลายๆ อย่างที่ต้องทำ ต้องใช้แรงผลักดัน อาศัยความภาคภูมิใจของคนข้างๆ คนรอบๆ ฉะนั้น คำว่าเป็นครอบครัวหรือเป็นอะไรมันไม่ใช่ข้อเสีย มันเป็นเรื่องของแรงผลักดันให้กันมากกว่า โดยเห็นว่าคนหนึ่งทำเพื่อประเทศแบบนี้ อีกคนหนึ่งในครอบครัวก็มีแรงผลักดันเช่นกัน มันเป็นแบบนั้น
เมื่อถามว่า พอมีคำว่า คนในครอบครัว ก็มีการมองถึงการครอบงำ ซึ่งนายกฯ ยังไม่ปฏิบัติหน้าที่แต่ก็มีเรื่องข้อหา รวมถึงการฟ้องร้องก็มีมา น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “สงสารนายกฯ บ้าง อย่าฟ้องอะไรเยอะเลย เป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว และก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ ฉะนั้น อย่างที่บอกและให้สัมภาษณ์ไป บางทีเรื่องเล็กๆ อย่าไปให้ความสำคัญอะไรมากเลย แม้แต่เรื่องการฟ้องร้องอะไรต่างๆ คนฟ้องก็อย่าฟ้องเยอะเลย มันไม่ได้มีอะไรผิดแบบนั้นอยู่แล้ว ต้องค่อยๆ”
ทั้งนี้ตามรายงานระบุว่า ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกร้องเรียนกับองค์กรอิสระไปแล้วไม่น้อยกว่า 5 เรื่อง เช่น กรณีไปพักที่โรงแรมเขาใหญ่ ระบุว่าเป็นการรับของขวัญมูลค่าเกิน 3 พันบาท กรณีการลาออกจากบริษัทหลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมิชอบกฎหมาย เป็นต้น และยังมีปัญหาในเรื่อง “ข้อสอบ” และ สนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่เป็นธรณีสงฆ์ และเชื่อว่าจะมีการร้องเรียนตามมาอีกหลายเรื่อง
แม้ว่ากรณีของ น.ส.แพทองธาร จะเป็นการคาดหมายได้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าต้องเจอแน่ แต่ขณะเดียวกันก็ได้มีความพยายามในการป้องกันแก้เกมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่เมื่อจำเป็นต้องเดินหน้าต่อ ก็ต้องยอมเสี่ยงวัดดวงเอาวันข้างหน้า
ส่วนอีกด้านหนึ่งกรณีของ “พ่อ” คือ นายทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นว่ามีความ “สุ่มเสี่ยง” มากกว่า อย่างน้อยตอนนี้ก็เห็นสัญญาณอันตรายเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกที จากกรณี “ชั้น14” ที่โรงพยาบาลตำรวจ ที่เขาไปนอนรักษาอาการป่วยขั้นวิก ฤต นานกว่า 180 วัน เพราะเริ่มมีการตรวจสอบกันอย่างจริงจังตามกฎหมายมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันเริ่มมีการแฉหลักฐานออกมามัดตัวมากขึ้นว่าเป็นการ “ป่วยทิพย์” ซึ่งนั่นเท่ากับว่า มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ นายทักษิณ จะต้องกลับมาติดคุก หรือต้อง “หนี” ไปอีกครั้ง ก็เป็นได้ เพราะจากคำพูดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่บอกว่าเคยไปเยี่ยม นายทักษิณ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ถึง 2 ครั้ง และแย้มว่ามีหลักฐานเด็ดที่กำลังจะปล่อยออกมา โดยเขาบอกว่างานนี้จะทำให้มี “คนติดคุก” หลายคน
อีกด้านหนึ่ง การตรวจสอบขององค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็เริ่มตื่นตัวมากขึ้น หลังจากมีการกระตุ้นให้เร่งดำเนินการ และที่ผ่านมาก็ได้ทำหนังสือขอหลักฐานจากกล้องวงจรปิด กับโรงพยาบาลตำรวจไปแล้ว ซึ่งหากยังเงียบ หรือไม่มอบให้ ก็อาจใช้อำนาจทางกฎหมายบังคับให้ส่งมาได้ ซึ่งถึงตอนนั้นมันก็เลี่ยงยาก
นอกเหนือจากนี้ยังมีการร้องไปที่กรมราชทัณฑ์เพื่อขอรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลนักโทษระหว่างที่รักษาอาการอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจอีกด้วย โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ทุกอย่างมันก็ยิ่งกระชับเข้ามาอีก
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ เองเวลานี้ก็ยัง “ไม่แผ่ว” ลงแต่อย่างใด และดูเหมือนว่าเขา “ไม่แคร์” สายตาใครทั้งสิ้น เพราะยังทำหน้าที่ “ครอบครอง” นายกรัฐมนตรี การจัดตั้งรัฐบาล ยังเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทย ทุกครั้งที่มีการประชุมในเรื่องสำคัญ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 5 กันยายน ก็ยังเดินทางเข้ามา ซึ่งเป็นการประชุมเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล ที่เตรียมแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งความเคลื่อนไหวของเขาที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ ถือว่า “ท้าทาย” ทั้งกฎหมาย และความรู้สึกของสังคม เป็นลักษณะของการย่ามใจ
แม้ว่ามองในมุมความจำเป็นของพวกเขาที่ต้องทำก็ตาม แม้จะมีความเสี่ยง เพราะการที่ลูกสาวมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการผลักดันของตัวเอง มันก็ย่อมรับรู้กันอยู่แล้วว่า คนที่เป็นนายกฯตัวจริง คือใคร อีกทั้งงานนี้จะพลาดไม่ได้
ดังนั้นเมื่อพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว เวลานี้ “จุดอ่อน” หรือความเสี่ยง ล้วนมาจาก “สองพ่อลูก” คือ นายทักษิณ ชินวัตร กับ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มากกว่าใคร โดยเฉพาะ นายทักษิณ ที่กำลังถูกล้อมกรอบ กระชับวงล้อมเข้ามาเรื่อยๆ เชื่อว่าอีกไม่นานหลักฐานต่างๆ จะเริ่มทยอยออกมา เพราะระดับเจ้าหน้าที่ เมื่อจวนตัวพวกเขาก็คงไม่อยากติดคุกคนเดียวแน่นอน !!