อดีตรองนายกฯ มอง 92 ปี ปชต.ไทย ไปไม่ถึงไหน เหตุร่าง รธน.ยึดรูปแบบตะวันตก แนะร่างใหม่ดูบริบทดูวัฒนธรรม-สันดานคนไทย เลิกระบบพรรค มีแค่ ส.ส.ตัวแทน ปชช.อยู่ในสภา สงสาร “อุ๊งอิ๊ง” ไร้ประสบการณ์การเมือง แต่ต้องนั่งหัวโต๊ะบริหารประเทศ
วันนี้ (29 ส.ค.) สมาคมแห่งสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง (พตส.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี และบรรยายวิชาการเรื่อง “92 ปี ประชาธิปไตยไทยไปถึงไหน” โดย นายกร ทัพพะรังสี นายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน และอดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ประเทศไทยเรามาถึงจุดที่ไม่มีใครรู้ว่าประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เราผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายหลายครั้ง แต่ก็ยังมีการตั้งคำถามถึงประชาธิปไตยไทย หัวข้อ ประชาธิปไตยไทยไปถึงไหน ตนถูกกำหนดให้บรรยายให้สถาบัน วปอ.มาแล้ว 7 ปี ปีนี้เป็นปีที่ 92 ของประชาธิปไตยไทย มีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ เห็นว่า ต้นเหตุของปัญหาของการปกครอง คือ รัฐธรรมนูญ มีมากี่ฉบับก็ไม่ลงตัวสำหรับประชาชนคนไทย รัฐธรรมนูญฉบับแรกมาจากนักเรียนไทยที่ไปเรียนฝรั่งเศสนำความรู้กลับมาใช้กับคนไทย ทั้งที่เวลานั้นคนไทยยังไม่รู้เลยว่าประชาธิปไตยคืออะไร แล้วเปลี่ยนเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งไม่แปลกใจถ้าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 21, 22, 23 ต่อเนื่องไป แต่ไม่ส่งผลดีต่อประเทศชาติ ตนเคยไปนั่งฟังการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ยินหลายครั้ง กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจบด๊อกเตอร์ ใช้คำพูดว่าอยากจะให้ใส่เรื่องนั้นเรื่องนี้ไว้ในมาตราต่างๆของรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลว่าเพราะมาตรานี้ใช้ได้ในประเทศอังกฤษ ฟังแล้วสลดใจเพราะตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ความคิดเช่นนี้ก็ยังคงอยู่
“ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กไทยที่ไปเรียนนอกได้รับความรู้จากต่างประเทศ อารยประเทศทั่วโลกแทนที่กลับมาจะนำความรู้นั้นเก็บไว้ในตน โดยเอาความเป็นไทยเป็นตัวตั้งแล้วแสวงหาแนวทางให้ประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองบนความเป็นไทยของเราเองไม่ได้หรือ ท่านจะอ้างมาตรานั้นดีเพราะประเทศนั้นเขาใช้ แล้วความเป็นคนไทยเราอยู่ตรงไหนตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศมาแล้วก็มาจากคนที่จบฝรั่งเศสทั้งนั้น จึงอยากฝากถึงคนที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปว่าการร่างรัฐธรรมนูญต้องยึดวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมของคนไทยเป็นตัวตั้ง อยู่กินอย่างไรเป็นตัวตั้ง เพื่อแก้ไขความทุกข์ยากให้กับคนไทย”
นายกร กล่าวว่า 92 ปี ประชาธิปไตยประเทศไทยยังวนอยู่ที่เดิมเริ่มตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง เปิดสภา ตั้งรัฐบาล รัฐบาลทำงาน เดินขบวน และสุดท้ายจบที่การปฏิวัติ เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ มีรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ เลือกตั้ง 29 ครั้ง ปฏิวัติ 12 ครั้ง แม้กระทั่งช่วงปี 2531-2534 ในช่วงรัฐบาล นายชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุด ไม่มีการเดินประท้วงรัฐบาล ก็ยังมีการปฏิวัติ
อย่างไรกตาม ในช่วงที่ประเทศไทยใกล้ถึงทางตัน ทหารมีการไล่ต้อนนักศึกษา รัชกาลที่ 9 ทรงเปิดพระราชวังสวนจิตรลดาให้นักศึกษาเข้าไปพักพิง ทำอาหารเลี้ยง และรับฟังความต้องการ รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น และดำเนินการแก้ไขทันที จึงทำให้เห็นว่ายามใดที่ประเทศไทยมีปัญหา พระมหากษัตริย์มีคำตอบ
นายกร ยังเห็นว่า ระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมากลไกหนึ่งที่ไม่เคยเป็นกลไกของประเทศชาติในด้านการเมืองเลย แต่กลับถูกดึงให้เข้ามามีบทบาท คือ ตุลาการภิวัฒน์ จะเห็นได้จากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้คนนั้นคนนี้ออกไปโดยอ้างรัฐธรรมนูญ จึงต้องโทษคนเขียน ที่เขียนแล้วทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในการบริหารบ้านเมืองโดยเฉพาะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ต้องแก้ที่เนื้อหาของรัฐธรรมนูญเขียน อย่างไรก็ได้ให้เกิดความต่อเนื่องเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชนทั้งชาติ คงไม่ยากเย็นสำหรับผู้ยกร่าง แต่อีกประเด็นหลักของบ้านเราที่หนักที่สุดใน 3-4 ปีนี้ คือ การคอร์รัปชันเป็นเรื่องเดียวที่เหมือนหนามทิ่มแทงความเจริญของประเทศชาติ เรื่องนี้โยงถึงพรรคการเมือง คนออกเงินให้กับพรรคการเมือง ซึ่งถึงเวลานักการเมืองก็ต้องหาประโยชน์คืนให้กับนายทุน มันก็วนอยู่แบบนี้ ดังนั้น อย่ามีพรรคการเมืองได้หรือไม่ ผู้แทนราษฎรต้องมาจากประชาชนที่เลือกเข้ามา ไม่ใช่เมื่อเลือกเข้ามาแล้วถึงเวลาประชาชนทวงถามนโยบายที่ได้ให้สัญญาไว้ สส.ต้องอ้างว่าเสนอพรรคแล้วไม่เห็นชอบ สิ่งเหล่านี้มันไม่สอดคล้องวิถีชีวิตความเป็นคนไทย ต้องดูว่าวัฒนธรรมของเรา สันดานของเราเป็นอย่างไร แล้วตั้งข้อตกลงให้ออกมาตรงกับตรงนั้นหน่อย บ้านเมืองถึงจะไปรอด
“พรรคการเมืองมักเห็นผลประโยชน์ของตัวเองคิดแต่คำว่ามติพรรค หรือพรรคร่วมรัฐบาล และบางครั้งสส.ก็มีความเห็นไม่ตรงกับมติพรรคการเมือง จะดีหรือไม่ถ้ามีแค่ สส.ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนทั่วประเทศนั่งอยู่ในสภาแต่ไม่มีพรรคการเมือง ไม่ต้องมาใช้นโยบาย หรือรับใช้พรรคการเมือง ไม่ต้องมีมติพรรคเข้ามาครอบงำ สส. แต่รับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่ พูดถึงปัญหาของคนในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น เพื่อให้รัฐบาลรับรู้เพื่อแก้ไขความขัดสนของคนในประเทศ นี่คือความหมายของประชาธิปไตยอย่างแท้ ซึ่งตนเชื่อว่าประเทศไทยทำได้”
นายกร ยังกล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ ว่า นายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีอย่างเข้มข้น มีการตรวจสอบการถูกดำเนินคดีในทุกศาลทุกคดีความเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เข้ามาแล้วไม่เกิดปัญหา เพราะถ้ายังมีปัญหาอีกนายกรัฐมนตรีก็จะโดนด้วย ซึ่งหวังว่า รอบนี้น่าจะผ่านการกลั่นกรองอย่างดีแล้วจากทุกฝ่าย จากบทเรียนที่ผ่านมาแล้วนายกรัฐมนตรีโดนเรื่องจริยธรรม รอไปตั้งรัฐมนตรีที่มีคดีติดคุกมาแล้ว จึงหวังว่าคณะรัฐบาลที่จะเข้าสู่การเสนอทูลเกล้าฯจะไม่มีตัวบุคคลที่มีความด่างพร้อยด้านจริยธรรมอีก
“ที่นายกฯยังไม่กล้าทูลเกล้าฯขึ้นไป ก็เพราะรายชื่อที่เข้ามาร้อยพ่อพันแม่จากทุกพรรคเป็นใครบ้าง นายกฯก็ยังไม่รู้จักเลย เพราะเพิ่งเข้าสู่การเมืองมาได้เพียง 8 วันก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยเข้าเลย ผมสงสารนะนายกฯท่านนี้ คือ ในความเป็นมนุษย์ท่านไม่เคยเป็น สส.สักสมัย ไม่รู้สภาเป็นอย่างไร ไม่เคยเป็นรัฐมนตรีมาเลย วันดีคืนดีขึ้นมานั่งเป็นนายกฯ นั่งอยู่หัวโต๊ะเลย เปิดการประชุมวาระนั้นวาระนี้ท่านนายกฯ จะไปทางไหน ท่านนายกฯ อาจจะบอกว่าแล้วมันต้องไปเริ่มต้นจากตรงไหน สงสารมากกว่าครับ ไม่เกลียดท่านเลย”