ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ หมดท่า สิ้นราคา "ลุงหยุม" และ พลพรรคถึงกับทวงเอกสารกรอกประวัติ รมว.ให้ "น้องป๊อด"
"ลุงหยุม" ฉายาใหม่ในวงการสื่อของ "ลุงป้อม" พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หลังมีเหตุ"หยุมหัว"นักข่าว เป็นเรื่องเป็นราวมีความพยายามทวงเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับน้องชาย "ป.ป๊อด" พล.ต.อ.พัชรวาท อย่างไม่ลดละ
โดยมอบหมาย "ไพบูลย์ นิติตะวัน" รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปฏิบัติหน้าที่แทน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามในหนังสือของพรรคพลังประชารัฐ เลขที่ พปชร.138/2567 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2567 ถึงนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ผ่านสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับหนังสือไว้แล้ว
เรื่อง ขอให้สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดําเนินการส่งแบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งเป็นผู้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี
หนังสืออ้าง ตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ. 2561 ข้อ 17 (1) (2) และ ข้อ 92 โดยที่ประชุมได้พิจารณาการที่พรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยได้มีการแถลงข่าวร่วมกับพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นๆไป เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคเห็นชอบให้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีของพรรค ไปให้นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ผ่านนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จํานวน 4 คนดังนี้
พลตํารวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ดํารงตําแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ดํารงตําแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ ดํารงตําแหน่ง รมช.สาธารณสุข
และ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ดํารงตําแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว ได้มีมติเห็นชอบรายชื่อบุคคลดังกล่าวข้างต้น ให้ดํารงตําแหน่งเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค
ทั้งนี้ หากรายชื่อบุคคลที่เสนอไปข้างต้น ปรากฏว่ามีบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ผ่านคุณสมบัติในการดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ที่ประชุมมีมติมอบอํานาจให้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้พิจารณาเปลี่ยนแปลงรายชื่อบุคคลใหม่ และเสนอให้นายกรัฐมนตรีดําเนินการทดแทน
สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไม่ได้ติดต่อเพื่อส่งแบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรีให้ และ หัวหน้าพรรคได้มีหนังสือนําส่งให้นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2567 แล้วนั้น เพื่อนายกรัฐมนตรีจะได้ดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่แถลงต่อสื่อมวลชน และ ปรากฏข่าวจากสื่อสารมวลชนว่า นายกรัฐมนตรี ให้สํานักเลขาฯ คณะรัฐมนตรี หน่วยงานในสังกัดนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ติดต่อไปตามรายชื่อบุคคลที่พรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ เสนอ เป็นรัฐมนตรี เพื่อให้กรอกแบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรี ตรวจสอบประวัติ และลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรีกันครบถ้วนทุกพรรคแล้ว
สรุปง่ายๆว่า “ลุงหยุม”ให้ “ไพบูลย์”ทวงเอกสารกรอกประวัติรัฐมนตรีกับ “นายกฯอุ๊งอิ๊ง” หลังจากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นๆได้กันหมดแล้ว ยกเว้นรายชื่อของพปชร.ที่ลุงป้อมและพลพรรคจัดส่งให้
งานนี้ลุงก็เลยร้อนอก ร้อนใจ นั่งไม่ติด เพราะ ตะหงิดๆ จะโดนเท ตามกระแสข่าวเขาว่ากัน
ปฏิบัติการทวงเก้าอี้ให้น้องจึงเกิดขึ้น ก่อนที่จะนัดระดมพล สส.และ กรรมการบริหารพรรคร่วมรับประทานอาหารที่มูลนิธิป่ารอยต่อในวันนี้
แว่วว่า “ลุงหยุม” อารมณ์บ่จอยพรรคเพื่อไทยไม่ไว้หน้า จึงสั่งไพบูลย์ให้หาทางออกหนังสือในนามพรรค ทวงทั้งเอกสารกรอกประวัติ ทวงทั้งบุญคุณในการยกมือโหวต “อุ๊งอิ๊ง”เป็นนายกฯ
การเคลื่อนไหวของ “ลุงหยุม” ครั้งนี้เชื่อได้ว่า รู้ตัวดีว่าฝ่าย “ทักษิณ ชินวัตร” คงเทฝ่ายตัวเองค่อนข้างแน่ แต่ตีเซ่องัดกลยุทธ์ "ด้านได้ อายอด" มาใช้ไว้ก่อน
สุดท้ายก็ไม่รู้ว่า “ลุงหยุม” จะได้ทั้งด้าน-อาย และ อด เสียมากกว่าหรือปล่าว!? หมดท่า สิ้นราคาจริงๆ.
++ “แม้ว” ชักแหยง ถุงขนมเอฟเฟกต์ยังไม่จบ นักร้องนิรนาม ยื่นยุบเพื่อไทย ประหยัดถ้อยประหยัดคำคุยสื่อ
ดูท่าว่า “ถุงขนมเอฟเฟกต์” จะไม่จบเพียงแค่ทำให้ “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ เสียแล้ว แต่อาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้พรรคเพื่อไทยถึงกาลอวสานได้เลยทีเดียว
เมื่อล่าสุด วันที่ 25 ส.ค. มีข่าวออกมาว่า มี “นักร้อง” ที่ยังไม่มีการเปิดเผยว่าชื่อเรียง เสียงไรกันแน่ ได้ไปยื่นคำร้องต่อ กกต.ไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคเพื่อไทย ฐานปล่อยบุคคลภายนอกมาครอบงำพรรค
หลักฐานเด็ดก็มาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่ให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ จากกรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่เคยมีมลทินเรื่องที่เอาเงินสดใส่ถุงขนม 2 ล้านบาท ไปให้เจ้าหน้าที่ศาล เมื่อปี 2551 นั่นแหละ
ว่ากันว่า การยื่นยุบพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ก็จะคล้ายๆ กับกรณีการยื่นยุบพรรคก้าวไกล ที่หยิบเอาคำวินิจฉัยคดีล้มลางการปกครอง ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินไว้แล้วตั้งแต่ต้นปี 2567 มาเป็นพยานหลักฐาน จนนำมาซึ่งคำสั่งยุบพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา
และผลของการยื่นยุบพรรคเพื่อไทยคราวนี้ก็อาจจะลงเอยคล้ายๆ กัน เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร
คำร้องของ “นักร้องนิรนาม” ระบุถึงพฤติการที่พรรคเพื่อไทยปล่อยให้ “ทักษิณ” ครอบงำ ก็คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตอนหนึ่งที่ระบุว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 (เศรษฐา) เข้าพบ "บุคคล" ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 2 (พิชิต ชื่นบาน) เป็นหัวหน้าทนายความประจำตัว จึงเป็นมูลเหตุจูงใจทำให้ผู้ถูกร้องที่ 1 (เศรษฐา) ต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่ "บุคคล" ดังกล่าว และหลังจากผู้ถูกร้องที่ 1 (เศรษฐา) เข้าพบ "บุคคล" ดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกร้องที่ 1 (เศรษฐา) นำความกราบบังคมทูลเพื่อเสนอแต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 (พิชิต) เป็นรัฐมนตรี…”
ส่วนที่โยงมาถึงพรรคเพื่อไทย “นักร้องนิรนาม” ระบุในคำร้องสรุปว่า “ทักษิณ” ใช้อำนาจชี้นำพรรคเพื่อไทยผ่าน “เศรษฐา” เนื่องจากการเสนอบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น “เศรษฐา” ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของพรรคเพื่อไทย โดยคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย จะต้องรับรู้หรือเห็นชอบในการเสนอบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย อาจเข้าข่ายกระทำความผิดฐานให้บุคคลภายนอกครอบงำพรรค และนำไปสู่การยุบพรรคในที่สุด
เมื่อวาน(26 ส.ค.)“ทักษิณ ชินวัตร” ไปปรากฏตัวที่ตึกชินวัตร 3 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักเจ้าของเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และ “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกฯ ภายใต้การเสนอชื่อของพรรคเพื่อไทย ก็ไปหารือเรื่องการส่งต่อภารกิจบริหารประเทศที่ตึกเดียวกันด้วย
ตอนเดินเข้าตึกช่วงเช้า เจอนักข่าวขอสัมภาษณ์ “ทักษิณ” รีบตัดบทว่า “พูดไปเยอะแล้ว” ก่อนรีบเดินขึ้นตึก
พอตกบ่ายเดินลงมาจากอาคาร เจอนักข่าวก็หันมาทักทายคุย 2-3 ประโยค แต่ก็แค่คุยเรื่องส่วนตัว แล้วรีบเดินไปขึ้นรถ
นักข่าวพยายามถามเรื่องที่มีคนไปร้อง กกต.ยุบพรรคเพื่อไทย “ทักษิณ” ก็ตอบเลี่ยงไปว่า “ไม่รู้เรื่อง อย่าไปสนใจ”
นักข่าวไม่ละความพยายามถามต่อว่า เรื่องครอบงำจะชี้แจงหรือไม่ และเป็นห่วง “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” หรือไม่ “ทักษิณ” ก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ ไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนที่จะขึ้นรถเมอร์ซีเดสเบนซ์-มายบัค ที่จอดรออยู่ เดินทางออกไปทันที
ท่าทีของ “ทักษิณ” เมื่อวาน ช่างต่างจากเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ “ทักษิณ” มาที่ตึกชินวัตร 3 เหมือนกัน แต่พอเดินลงมาก็คุยจ้อกับผู้สื่อข่าวเรื่องโน้นเรื่องนี้เป็นฉากๆ
อย่างเรื่อง “ดิจิทัลวอลเล็ต” ที่ทักษิณบอกว่าแค่เดินผ่านไปได้ยินเขาคุยกัน แต่ก็อธิบายได้เป็นคุ้งเป็นแควว่า จะทำต่อแน่นอนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมอธิบายเสร็จสรรพ ว่าจะเอาดิจิทัลวอลเล็ตไปทำอะไรบ้าง
ก็นั่นหละฮะทั่นผู้ชม วันที่ 20 ส.ค. ถือเป็นครั้งแรกที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต มีความชัดเจนว่าไม่ล้มแน่นอน หลังมีกระแสข่าวไปต่างๆ นานา ว่าจะล้มโครงการบ้าง จะลดขนาดลงบ้าง นับตั้งแต่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯคนก่อนพ้นตำแหน่ง
แต่แทนที่เสียงคอนเฟิร์มว่าทำต่อ จะออกมาจากปากนายกฯ กลับเป็นมาจาก “พ่อนายกฯ” แทน
แถมพ่อนายกฯ ยังเอาไปพูดในงานแสดงวิสัยทัศน์ กลางห้างสยามพารากอน เมื่อวันที่ 22 ส.ค.อีก พร้อมกับอีกหลายๆ นโยบายที่คนของพรรคเพื่อไทยออกมารับลูก หรือสอดคล้องกับนโยบายของพรรคที่เคยป่าวประกาศต่อสาธารณชนไว้ก่อนหน้านี้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร ที่มีกาสิโนอยู่ข้างใน หรือเรื่องซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าและเก็บค่าโดยสาย 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น
เรียกได้ว่า ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนจะมากล่าวหาว่าครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือครอบงำลูกสาวกันละ
แต่พอมีข่าว “นักร้องนิรนาม” ยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ยุบพรรคเพื่อไทยไว้เรียบร้อยแล้ว เท่านั้นหละ ท่าทีของ “พญาแม้ว” ก็เปลี่ยนไปทันที
เมื่อวันก่อน (25 ส.ค.) ยงยุทธ ติยะไพรัช ออกมาเปิดเผยกับนักข่าวว่า “ทักษิณ” จะไปเยียมชาวเชียงราย ที่โดนน้ำท่วม ในวันที่ 27 ส.ค.นี้ ก็ออกตัวเสร็จสรรพ ว่าไปในฐานประชาชนคนหนึ่งเท่านั้นนะ ไม่ได้ไปครอบงำ หรือสั่งการอะไรใคร
งานนี้ ดูท่าว่า “ทักษิณ” จะกลัวฤทธิ์เดชของ “นักร้องนิรนาม” ผู้นั้นเสียแล้ว เพราะคงไม่อยากให้พรรคการเมืองที่สร้างมากับมือต้องถูกยุบเป็นพรรคที่ 3 หลังจากที่พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนเคยโดนมาแล้ว
และคงคิดไม่ถึงว่าถุงขนมแค่ 2 ล้านบาทมันจะส่งผลระยะยาวมาจนถึงวันนี้.