ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ใจ"ลุงหยุม" ทำด้วยอะไร!? พลเอกประวิตร เมินทุกข์ประชาเผชิญภัยน้ำท่วม นัดซ่องสุมส.ส. กินข้าวเฮฮา หาทางสางแค้น จับตาปมร้อน! ใช้มูลนิธิฯทำกิจกรรมการเมือง ผิดข้อบังคับ
ตอนนี้หลายพื้นที่ของประเทศกำลังประสบกับอุทกภัย เรือกสวนไร่นาจมน้ำเสียหาย ชาวบ้านเผชิญทุกข์ระทม หลายฝ่ายต่างระดมความช่วยเหลือเต็มกำลัง แต่ได้ยินข่าวมาจาก "ป่ารอยต่อ" ว่า "ลุงหยุม" พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับทุกข์ร้อนของประชาชน
สถานการณ์น้ำท่วมหนักหนา แทนที่จะสั่งส.ส.และสมาชิกพรรคทำความดี ระดมความช่วยเหลือลงพื้นที่เหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ ลุงกลับสั่งให้ระดมพลมาที่บ้านป่าฯ!!
ฟังว่า “พลเอกประวิตร”ให้คนใกล้ชิด ทั้งมือขวา มือซ้าย ร่อนจดหมายเชิญร่วมรับประทานอาหารกลางวันไปถึงเหล่าส.ส. กรรมการบริหาร, กรรมการยุทธศาสตร์ของ พปชร. ในวันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2567 ณ มูลนิธิฯ
แว่วว่า เรื่องที่จะพูดคุยก็ไม่ใช่ใดอื่น นอกจากกระชับกำลังส.ส.ที่เหลืออยู่เอาไว้ และ หาทางเล่นงานกลุ่มสส. ที่แยกตัวออกไปอย่างไม่ลดละ
เรียกว่า เรื่องน้ำท่วมของชาวบ้านไม่สำคัญ เรื่องชำระแค้นในอกของข้าต้องมาก่อน
นับแต่เกิดเรื่องภายในพรรค ตามด้วยข่าว “พล.ต.อ.พัชรวาท” น้องรักจะไม่ได้ไปต่อในเก้าอี้รัฐมนตรี สะท้อนว่า "วงษ์สุวรรณ" ตะวันตกดิน อำนาจ-บารมี เหือดหาย
“ลุงป้อม”ดูเหมือนจะกลับมาใช้บ้านป่าฯ เคลื่อนไหวมากขึ้น
แต่ลุงคงไม่รู้ว่า งานนี้ วันนี้ไม่เหมือนอดีตที่เคยยิ่งใหญ่ ยิ่ง “ลุงหยุม”ใช้มูลนิธิฯเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นที่น่าจับตา และทำให้บรรดานักร้องทั้งหลายเริ่มจะอดรนทนไม่ไหว !!
เพราะต้องไม่ลืมว่า ที่ “ลุงหยุม”ทำมาตลอดก็คือ การใช้มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผิดวัตถุประสงค์จนเคยตัว
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เป็นมูลนิธิที่กองทัพบกจัดตั้งขึ้นเพื่อสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์ป่าในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคตะวันออกของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่1.2 ล้านไร่
แต่ “พลเอกประวิตร” กลับใช้เป็นที่ซ่องสุมทางการเมืองไปซะเป็นส่วนใหญ่
ตอนนี้ จึงเป็นประเด็นร้อนว่า การใช้มูลนิธิฯ มาซ่องสุม พูดคุย และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองจนเคยชิน และสื่อสะท้อนต่อสังคมให้รับรู้มาตลอด
เพราะฉนั้นจึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับของมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในข้อที่ 2.7 ว่าด้วยวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ที่กำหนดว่า “ไม่ดําเนินการเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ประการใด” ตามที่นายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร (ปลัดกระทรวงมหาดไทย) ได้ประกาศไว้ เมื่อวันที่ 28 ก.พ.59 หรือไม่
อีกประเด็น คือ ทั้งสํานักงานของมูลนิธิฯ ตั้งอยู่ ณ บ้านพักสวัสดิการ ทบ. ใน ร.1 รอ. พหลโยธินซอย 8 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ถือเป็นพื้นที่ของกองทัพ เป็นพื้นที่ของทางราชการทหาร เป็นการขัดหรือแย้งต่อ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 และฉบับที่ 3 และเข้าข่ายความผิดตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยประมวลจริยธรรม 2551 ข้อ 5.5 ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยหรือไม่
เรื่องนี้ คงเป็นที่สนใจของนักร้อง หน้าเก่า หน้าใหม่ ที่เตรียมถามไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิตามกฎหมาย รวมไปถึงต้องถามไปที่ ป.ป.ช. ด้วย เพื่อให้ตรวจสอบการกระทำดังกล่าวของมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ด้วยว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับที่ห้ามเกี่ยวข้องกับการเมือง และผิดกฎหมาย ฝ่าฝืนประมวลจริยธรรม หรือไม่ เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานของมูลนิธิต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป
งานนี้ “ลุงหยุม” พลเอกประวิตร จะอาศัยใส่ลูกมั่วบอก "ไม่รู้ๆๆๆ" เห็นจะไม่ได้แล้ว.
++ เพื่อเก้าอี้รัฐมนตรี “เอกนัฏ” ก็ก้มหัวให้ทักษิณ โยนทิ้ง นกหวีด อุดมการณ์ กปปส.
โผครม. “แพทองธาร 1” มีชื่อ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็น รมว.อุตสาหกรรม โดยจะมาแทน “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” สส.นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ
ในช่วงการตั้งครม.“เศรษฐา1” เป็นที่รับรู้กันว่า เก้าอี้ที่ “พิมพ์ภัทรา”นั่งอยู่นั้น เป็นโควตาของ “เอกนัฏ” ในฐานะเลขาฯพรรค แต่ช่วงนั้นเจ้าตัวอาจจะยังเคอะเขิน หรือเสนอชื่อไปแต่ไม่ผ่านการพิจารณา จึงไม่มีชื่อเป็นรัฐมนตรี
เพราะต้องไม่ลืมว่า “เอกนัฏ”นั้นเป็นถึงแกนนำ กปปส. และเป็นลูกเลี้ยงของ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ หัวหน้าใหญ่ กปปส. ที่ตั้งเวที เป่านกหวีด ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ขับไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โจมตีสาดเสีย เทเสีย ไล่เหมือนสุกร สุนัข แล้วจะมาขอเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็ได้หรือ
เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี วันนี้มีการเปลี่ยนจาก “รัฐบาลเศรษฐา” มาเป็นรัฐบาล“แพทองธาร” แต่ยังคงมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเหมือนเดิม “ความอยาก” ล้นทะลักขึ้นมาอยู่เหนือ “ความเคอะเขิน” เขาจึงเสนอตัวเข้าร่วมครม. โดยจะเป็น รมว.อุตสาหกรรม แทน “พิมพ์ภัทรา” และก็มีชื่อติดโผเสียด้วย
เรื่องนี้ “วัชระ เพชรทอง” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉถึงที่มาที่ไปว่า ก่อนหน้านี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหมายเรียกให้ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ไปให้ปากคำในคดี 112 ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” พูดที่ประเทศเกาหลีใต้ ตามที่ ทักษิณ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ให้สอบพยานเพิ่มเติม
และ“เอกนัฏ”ก็ไปให้ปากคำต่อหน้าตำรวจและอัยการ ในทางที่เป็นคุณ กับ“ทักษิณ”เสียด้วย ทั้งที่จะบอกว่าไม่รู้ ไม่เห็นก็ได้ เพราะคดีนี้เกิดที่ประเทศเกาหลี แต่นี่ไปบอกว่า คำพูดของ “ทักษิณ” ไม่เข้าข่ายมาตรา 112
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ “เอกนัฏ” มีจุดยืน ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา112 และไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา 112 แต่พอจะไปเป็นรัฐมนตรี ในรัฐบาล “อุ๊งอื๊ง” ลูกสาวของทักษิณ ชินวัตร กลับละทิ้งจุดยืน และอุดมการณ์ที่เคยประกาศไว้
เพียงเพื่อตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้
บทบาทในอดีตที่ผ่านมา จึงไม่ต่างอะไรกับ การเล่นละคร หรือ เล่นลิเกหลอกมวลมหาประชาชน
แม้วันนี้ “เอกนัฏ” จะมีชื่อติดโผ เป็นรมว.อุตสาหกรรม ในครม. “แพทองธาร 1” แต่ในวันเปิดโผออกมา อาจไม่มีชื่อ “เอกนัฏ” ก็เป็นได้ เพราะการจัดวางบุคคลในตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งนี้ มีการสกรีน ประวัติ คุณสมบัติอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่โดนเรื่องมาตรฐานจริยธรรม จนต้องพ้นจากตำแหน่ง
ต้องไม่ลืมว่า “เอกนัฏ” นั้นเคยต้องคดีช่วงที่เป็นแกนนำ กปปส. คดีหมายเลขดำ อ.247/2561 หมายเลขแดง อ.317/2564 ศาลอาญา โดยศาลชั้นต้น พิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี โดยรอลงอาญา และโทษปรับเงิน 13,333 บาท ได้ประกันตัวต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับยกฟ้อง
ทั้งนี้ ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของสำนักงานอัยการสูงสุด ถ้าศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษาแตกต่างกัน อัยการต้องมีคำสั่งฎีกา เพื่อให้ศาลฎีกาตัดสินชี้ขาด ดังนั้นคดีนี้จึงน่าจะยังไม่ถึงที่สุดตามที่ “พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” กล่าวอ้าง ตามที่ได้เสนอชื่อเอกนัฏ เป็นรัฐมนตรี
นอกจากนี้ คดี112 ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ศาลประทับรับฟ้องไว้แล้ว ซึ่งก่อนที่อัยการสูงสุดจะมีคำสั่งฟ้องนั้น “ทักษิณ” ได้อ้าง “เอกนัฏ” เป็นพยานในชั้นอัยการ และ “เอกณัฐ” ได้ไปให้การในสำนวนคดีนี้ ว่าเรื่องที่ “ทักษิณ” พูดที่ประเทศเกาหลีใต้นั้น ไม่เข้ามาตรา 112 แล้วอย่างนี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรี หรือ ผิดจริยธรรมร้ายแรง หรือไม่
ต้องติดตามกันต่อไปว่า “เอกนัฏ” จะได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ หรือจะได้รับบทเรียนอันแสนเจ็บปวดจาก “ทักษิณ ชินวัตร”