เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้ทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งน.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย กำลังเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันจนแยกแทบไม่ออก เหมือนกับว่าใคร “โดน” ที่เหลือก็ต้องโดนไปด้วย
สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าของ” พรรคเพื่อไทยตัวจริง เป็นบิดาของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เวลานี้สิ่งที่หลายคนกำลังจับตามองก็คือ ข้อกล่าวหาอันอื้อฉาวของแต่ละคนทั้งในอดีตมาถึงปัจจุบัน กำลังถูกรื้อฟื้นและร้องเรียนจนอาจทำให้เกิดมีผลทางกฎหมาย และมีความเสี่ยงที่จะตกเก้าอี้ได้ในอนาคตอันใกล้
เริ่มจาก นายทักษิณ ก่อน หลังจากมีการเคลื่อนไหวให้เห็นในทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ และสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายในหลายกรณี ตั้งแต่การไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว ทำผิดระเบียบของกรมราชทัณฑ์ การอ้างป่วยขั้นวิกฤตแล้วเข้ารักษาอาการที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ล่าสุดกรณีที่กำลังถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) หลังจากที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยื่นคำร้อง จนนำไปสู่การขอให้โรงพยาบาลตำรวจ ส่งภาพบันทึกของกล้องวงจรปิดช่วงการรักษาอาการของ นายทักษิณ มาตรวจสอบ
การเคลื่อนไหวทางการเมืองระหว่างการ “พักโทษ” หลายครั้งที่ผ่านมา แต่กรณีการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังเป็น “เอฟเฟกต์” สร้างแรงสั่นสะเทือนตามมาอีกรอบ จนอาจทำให้เสี่ยงต่อการยุบพรรคเพื่อไทยตามมาอีก เพราะจากรายงานข่าวของ “สำนักข่าวอิศรา” ระบุว่า เวลานี้ มีคนไปยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีการยุบพรรคเพื่อไทย โดยอ้างอิงจากกรณีการที่ นายเศรษฐา ได้เข้าพบ “บุคคล” และนำมาสู่การแต่งตั้งนายพิชิต เป็นรัฐมนตรี ในลักษณะการ “ชี้นำ” และครอบงำพรรคเพื่อไทย จากบุคคลภายนอก
ในคำร้องที่ยังไม่เปิดเผยชื่อผู้ร้องได้ยื่นไปถึง คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ตอนหนึ่ง ระบุว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญฟังเป็นยุติดังกล่าว เป็นฐานแห่งข้อเท็จจริงที่ สำคัญทำให้เห็นถึงการยินยอมของ นายเศรษฐา ทวีสิน ให้ผู้อื่นใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตน เพื่อกระทำการโดยมิชอบ และทำให้เห็นว่า นายทักษิณ ชินวัตร มีเจตนาชี้นำผ่านนายเศรษฐา ทวีสิน ไปยังพรรคเพื่อไทย เนื่องจากการเสนอบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่มีอำนาจดำเนินการได้โดยลำพัง แต่จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของพรรคเพื่อไทย ในการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย จะต้องรับรู้ หรือเห็นชอบในการเสนอบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในโควต้าของพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น การที่นายทักษิณ ชินวัตร ชี้นำนายเศรษฐา ทวีสิน จึงเป็นการชี้นำเพื่อผ่านนายเศรษฐา ทวีสิน ไปยังคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญฟังข้อเท็จจริงว่านายเศรษฐา ทวีสิน เสนอแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นการที่นายเศรษฐา ทวีสิน ยินยอมดำเนินการตามที่นายทักษิณ ชินวัตร ต้องการ หรือยินยอมตามการชี้นำของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อนำเอาความต้องการของนายทักษิณ ชินวัตร ไปดำเนินการตามข้อบังคับของพรรคเพื่อไทย ให้บรรลุผลตามที่นายทักษิณ ชินวัตร ต้องการ และคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยควรรู้ว่าการเสนอแต่งตั้งรัฐมนตรีคนดังกล่าวมาจากการชี้นำของนายทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นบุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทำให้พรรคเพื่อไทย หรือสมาชิกขาดความอิสระในการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ
นั่นคือ กรณีของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกยื่นคำร้องเชื่อมโยงให้มีการยุบพรรคเพื่อไทย และส่งผลกระทบไปถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรค และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเธออีกด้วย
นี่ยังไม่นับอีกหลายกรณีจากความเคลื่อนไหวที่มองเห็นชัดเจนว่า นายทักษิณ ทำตัวไม่ต่างจากการเป็น “เจ้าของ” และ “ผู้ครอบครอง” นายกรัฐมนตรี ทั้งการแสดงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ ที่ไม่ต่างจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล การเข้าร่วมประชุมพรรค การเรียกหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลเข้าหารือ ที่บ้านพักส่วนตัวหลังจาก นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ที่ขาดคุณสมบัติ เป็นรัฐมนตรี
ทีนี้ในส่วนของ น.ส.แพทองธาร ล้วนๆ จากกรณีข้ออื้อฉาวในอดีต เช่น กรณี “ข้อสอบรั่ว” การถือหุ้นในสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ถูกระบุว่าเป็น “ธรณีสงฆ์” รวมไปถึงการกล่าวหามีหุ้นอยู่ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ จากกรณี “ทุนจีนสีเทา” กว้านซื้อ “ยกหมู่บ้าน”ก่อนหน้านี้
แม้ว่าเป็นเรื่องในอดีต แต่ในเมื่อ “มาตรฐานจริยธรรม” ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีขอบเขตกว้างขวาง สำหรับนักการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องเข้มงวด มันก็ทำให้สุ่มเสี่ยง เข้าข่ายต้องลุ้นระทึกทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ยิ่งต้องถูกตรวจสอบเข้มข้นอีกหลายเท่า
แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร เอง ที่เป็นส่วนสำคัญกลายเป็นแรงกระตุ้นจากสังคมภายนอก เร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมา หากว่าไปแล้วเขาก็ไม่ต่างจาก “สายล่อฟ้า” ดีๆ นี่เอง ถูกมองว่าท้าทายกฎหมาย และท้าทายความรู้สึกของสังคม จนทำให้มองว่า จะทำให้ น.ส.แพทองธาร และรัฐบาลของเธอมีอายุสั้นลง
ที่ต้องบอกว่า เวลานี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังเดินเข้าสู่เส้นทางที่ต้องลุ้นระทึกตั้งแต่เริ่ม เพราะเมื่อพิจารณาจาก “แบ็กกราวด์” ที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมากมาย และแม้ว่าหลายเรื่องเคยเงียบไปแล้ว แต่เมื่อเธอขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ข้อกล่าวหาที่อื้อฉาวหลายเรื่องก็ต้องกลับมาหลอกหลอนเธออีก เหมือนกับว่าที่รัฐมนตรีหลายคนจากพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้ที่กำลังถูกตั้งคำถามและถูกตรวจสอบในเรื่อง “จริยธรรม” อย่างเข้มข้น จนทำให้การเสนอชื่อแต่งตั้งต้องยืดเวลาออกไป
อย่างไรก็ดี หลายกรณีดังกล่าวแม้ว่าต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะมีข้อสรุปออกมา แต่เมื่อมี “เริ่มต้น” มันก็ต้องเดินต่อไปส่วนจะช้าหรือเร็วนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่าบรรดา “นักร้อง” ทั้งหลายที่จ่อคิวกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีไม่น้อยที่ “มือฉมัง” ทำให้ตกเก้าอี้กันมามากมาย จึงไม่อาจดูเบาได้เลย